ตำนานครุฑกับนาค 2
เริ่มเรื่องวุ่นวายของสองสายเลือดเดียวกัน(งงมั๊ย)
คือที่ผู้แม่นางวินตา ซึ่งเป็น ๑ ในชายาจำนวนมากมายของพระฤษีกัศยป
และมีน้องสาวชื่อว่า กัทรุ หรือ สรุสา (ซึ่งก็เป็นชายาด้วยเหมือนกัน)
ทั้งสองพี่น้อง
ครั้งหนึ่งคอยดูแลพระฤษีกัศยปเทพบิดร จนเป็นที่พอใจ และได้ให้พรแก่ทั้งสองนาง
ฝ่ายน้องสาวได้ขอพรก่อน โดยขอไว้ว่า
ข้าพเจ้าขอมีบุตรเป็นนาค ๑๐๐๐ ตัว มีฤทธิ์ร้ายแรง และแปลงได้ได้สารพัด ดังใจนึก
พระมุนีฤษีก็ให้พรนั้นแก่ชายาไป
ฝ่ายนางวินตานี่ขอว่าให้ข้าพเจ้าของมีบุตรเพียง
๒ แต่ขอให้มีเดชล้นฟ้า หาผู้ใดเสมอมิได้ จงมีชัยชนะเหนือนาคทั้งหลาย ทุกเมื่อ
พระเทพบิดรก็ให้พรไป
และพูดกลับแก่นางวินตาเหมือนรู้ทันว่า.....เจ้าจะได้พรดังขอ
แต่เจ้าของพรด้วยจิตริษยาต่อน้องของเจ้า เจ้าได้ผูกเวรขึ้นมาแล้ว
และมันจะทำให้เจ้าตกระกำลำบากมากมายจนเลือดตากระเด็น แต่อย่างไรเสีย
เจ้าจะพ้นทุกข์เวรนี้ได้เพราะบุตรของเจ้า ผู้เป็นลูกกตัญญู กล่าวจบ พระฤษีกัศยป
ก็ขึ้นสวรรค์ไปช่วยพระอินทร์กวนอมฤต
ไม่นานทั้ง ๒ พี่น้อง
ก็คลอดบุตรออกมาเป็นไข่ ฝ่ายนางกัทรุ ได้เป็นไข่ ๑๐๐๐ ฟอง และนางวินตา คลอดออกมาเพียง
๒ ฟอง
แต่
เวลาผ่านไป ๕๐๐ ปี ไข่นางกัทรุแตกออกมาเป็นนาคทั้งหมด
บังเกิดความอิจฉาแก่ผู้พี่เสมอ จนทำให้ตบะแตกลงทุน ทุบ ไข่ฟองแรก
ปรากฏว่ามีกุมารอยู่ในนั้นคนหนึ่ง แต่มีร่างกายแค่ท่อนบน คือ พระอรุณ//พระอรุณ
เห็นแม่ทำดังนั้นก็โกรธมาก สาปแม่ทันทีว่า ดูก่อน แม่ช่างทำแก่ข้าได้
ข้ามีร่างการครึ่งตัวเช่นนี้เพราะความขาดสติแท้ ๆ นับแต่นี้ไป แม่จงตกเป็นทาสของนาง
กัทรุและพวกนาคทั้งหลาย จะต้องทนทุกข์เวลาช้านาน หาความสุขมิได้
แต่ในที่สุดก็สงสาร เพราะความจริงที่ว่านางวินตาก็คือแม่ของตน จึงลดคำสาปลง
เอาแค่ให้รอไป ๕๐๐ ปี
ไข่อีกฟองจึงจะแตกออก และเขาจะเป็นผู้ช่วยแม่ออกจากทุกข์นี้เอง กล่าวจบ
ก็ลอยขึ้นเวหาสไปเป็นสารภีให้พระอาทิตย์ พระอรุณผู้มีร่างกายใหญ่โต
ขนาดมีเพียงครึ่งเดียว ก็สามารถบังแสงของพระอาทิตยได้
มวลเทวดาก็แสบตาต้องทูลร้องขอ จนท่านลดแสงเป็นสีส้มชมพูอ่อน ๆ (อรุณ หมายถึง สีแดงดอกกุหลาบ ก่อนที่พระอาทิตย์จะโผ่ลขึ้นพ้นขอบฟ้าเราจะเห็นแสงสีเงินปรากฏก่อนแล้วจงมีแสงสีทอง
. จึ่งเรียกแสงอาทิตย์แรกจับขอบฟ้าว่า...แสงอรุณ นั้นเอง
ไปดูดินสีอรุณที่อิสานได้
(ส่วนเรื่องพระอาทิตย์นี่ก็โดนแม่ทิ้ง เศร้าเหมือนกัน) (บางตำราว่า แสงอรุณ เป็นเทพสตรี ก็ไปอ่านต่อนะ
เพราะกว่าพระสุริยาทิตย์ท่านจะทรงงานยามเช้าทุกๆวัน มีทั้งพระอรุณ ม้าพระอาทิตย์
นางอัปสรออกมาก่อนเป็นทิว ทำให้เราเห็นแสงรำไร แสงอรุณ แสงเงินแสงทอง
ก่อนจะเป็นดวงอทิตย์ไง)
และถึงคราวที่นางวินตาจะกลายเป็นไปตามคำสาปก็มาถึง
นางไปพนันกับน้องสาวแพ้ เรื่องสีของขนม้าอุจไรศรพ (ม้านี้ออกมาจากการกวนอมฤต)
ว่ามีสีอะไร นางวินตาจำได้ว่าเป็นสีขาวทั้งตัวม้า จึงตอบไปว่าสีขาว
ฝ่ายน้องสาวคิดทางต้องชนะ
เพราะผู้แพ้จะต้องตกเป็นทาสของอีกฝ่าย นางจึงให้ลูกนาค
แปลงกายไปเป็นเส้นขนหางม้าสีดำ บ้างก็ว่าพ่นพิษดำใส่หาง นางวินตาจึงแพ้
และตกเป็นทาสตามคำสาป
นางวินตาถูกใช้งาน แสนสาหัส
หาความสุขมิได้ จนในที่สุด ไข่อีกฟองก็ครบอายุ และ แตกออก ปรากฏเป็นร่างนกยักษ์แสนสง่า
ร่างกายมหึมา สว่างไสวกว่าแสงพระอาทิตย์ ๑๐๐ เท่า ออกมาปุ๊บก็กางปีกโผขึ้นสู่เวหา
จนถึงทางโครจรแห่งสูรยาทิตย์ พร้อมรัศมีอันมหาศาลรุ่งโรจน
ว่ากันว่าทำให้ทวยเทพแตกตื่นกันไปเข้าเฝ้าพระอัคนิเทพทราบว่า
แสงนี้เป็นแสงรัศมีแห่งบุตรของพระฤษีกัศยปเทพบิดร
ทวยเทพทราบดังนั้นจึงมาขอร้อง
ให้มหาวิหคโปรดลงรัศมีลง พญานกก็ยอมทำตาม เมื่อพญาเวนไตย
ทราบถึงความเป็นอยู่ของพระมารดา ก็เศร้าใจ คิดหาทางช่วยจนวันหนึ่ง นางกัทรุอยากเดินทางไปยัง
เกาะรามณียกะ ที่กลางสะดือทะเล โดยนางวินตาแบกนาง กัทรุและเวนไตยแบกนาคทั้ง ๑๐๐๐
ขึ้นบิน แล้วแกล้งไต่เพดานบินขึ้นฟ้าจนเข้าใกล้สายโคจรของพระเทวาอาทิตย์นาคทั้งหลายพากันสลบไปหมด
นาง กัทรุแม่นาคทั้ง ๑๐๐๐ ก็สวดมนต์อ้อนวอนพระอินทร์ พระอินทร์จึงบัลดาลฝนตกห่าใหญ่
ทำให้นาคทั้งหลายชุ่มฉ่ำ ฟื้นขึ้นมานี่ พญาเวนไตย
จึงผู้ใจเจ็บกับท้าววัชรินทร์เป็นต้นมา
ด้วยความกตัญญูต่อพระมารดา พญาเวนไตยจึงขออิสรภาพกับนางกัทรุโดยแลกกับหม้อน้ำอมฤตของพระอินทร์
(ไปอ่านจากกวนเกษียรสมุทร) ซึ่งพญาเวนไตยต้องเดินทางไปเขาพระสุเมรุ
พระนางวินตาได้แนะว่า ลูกต้องอาศัยเรี่ยวแรงมหาศาล จึงเดินทางไปถึงสวรรค์
ลูกจงกินเหล่านิษาท อันเป็นคนเถื่อนที่มีอยู่จำนวนมากมายในป่าเป็นอาหารเถิด
เวนไตยมีใจยินดี กราบอำลาพระมารดา
นางวินตาจึงสอนลูกเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมให้พร ลูกรัก #ผู้มีอำนาจเรืองฤทธิ์เดชแต่อย่าได้ทะนงตน
ลูกต้องเคารพวรรณะพราหมณ์
อันเป็นวรรณะสูงสุด ต้องเคารพยำเกรง ให้เกียรติเหนือตน
ตลอดเวลาถ้าเจ้าหลงกลืนพราหมณ์ จักมีอาการแสบร้อนทรมาน จงรีบคายเสีย
บัดนี้ลูกกตัญญูของแม่จักเดินทางออกไปเพื่อช่วยแม่
ขอให้ประสพความสำเร็จทุกประการ ขอพระวายุปกป้องปีกของลูก พระอาทิตย์
และพระจันทร์ปกป้องเบื้องล่างของลูก พระอัคนีปกป้องศีรษะของลูก และ
เหล่าทวยเทพวสุปกป้องกายอื่น ๆ ของลูก เจ้าจงรีบไปเถิด แม่จะคอยอยู่ที่นี้
เมื่ออำลา และรับพรแล้ว
พญาเวนไตยจึงออกเดินทางโดยระหว่างนั้นก็เสพเหล่านิษาทไปเป็นจำนวนมากและหนึ่งในนั้น
ได้เผลอกลืนพราหมณ์ผู้มีภรรยาเป็นนิษาทลงไปเกิดอาการแสบร้อน ทรมาน
จึ่งนึกถึงคำของแม่ รีบคายออกมาทั้งพราหมณ์ และภรรยา
พร้อมกล่าวขออภัยอย่างนอบน้อมตามดำรัสพระมารดา
พราหมณ์เห็นความอ้อนน้อม
และกตัญญูของพญาปักษา ก็เอ็นดูทันที
ให้พรอันทำให้ประสบความสำเร็จในการทำงานสมปรารถนา
พญาเวนไตยแม้จักกินนิษาทมากแค่ไหนก็ไม่อิ่ม
คิดหาเหยื่อใหม่โดยร่อนลงบนเขาเหมกูฏอันเป็นที่ตั้งของพระกัศยปพรหมฤษี ผู้เป็นบิดาจึงแนะว่าให้ไปกินพญาเต่า
และพญาช้าง ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นอสูรด้วยกันทั้งคู่ที่สู้รบไม่รู้แพ้ ชนะ
จึงสาปกันและกันเป็นให้เป็นสัตว์เช่นนี้อยู่ที่ทะเลสาบใหญ่ทางทิศเหนือ
เมื่อได้รับคำแนะจากบิดา เวนไตยก็รีบไปจับ
ใช้ปากจับสัตว์ยักษ์ทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ และโผจับกิ่งไทรใหญ่
กิ่งหนึ่งหวังจะกินอาหารที่ได้มา แต่กิ่งนั้นทานน้ำหนักไม่ไหวจึงหักลง
และที่กิ่งไม้นั้นเองมีเหล่าพราหมณ์แคระ พาลขิลยะ มีร่างกายเท่านิ้วมือ ห้อยหัวลงดิน
บำเพ็ญเพียรอยู่จำนวนหลายหมื่นตน
พญาวิหคจึงไม่กล้าทิ้งกิ่งไม้เกรงอันตรายเกิดแก่เหล่าพราหมณ์ แต่หาที่วางเหมาะ ๆ
ไม่ได้ จึงต้องกลับมาหาพระบิดาอีก!!!
พระเทพบิดรก็ได้เล่าความทั้งหมดที่เกิดแก่เหล่าพราหมณ์แคระ ก็พากันสรรเสริญ
และให้พร ว่า มหาปักษิน จากนี้ไปท่านจงมีนามว่า ครุฑ คือผู้รับภาระอันหนัก
ไม่ว่าภาระใด ๆ ก็สำเร็จลุล่วงทุกครั้งไป มีพลังมหาศาลไม่มีวันพร่อง
เป็นผู้สามารถตลอดกาล ใคร ๆ อย่าได้ต้านทานต่อสู้ได้เลย
พญาครุฑเอากิ่งไทรไปทิ้งทะเล
และกินเหยื่อที่ริมหาดนั้นเอง แล้วก็รีบบินไปเทวโลกทันที
ณ วิมานไวชยันต์
อันเป็นที่เก็บหม้อน้ำอมฤต พระวิศวกรรมออกมาขวาง พร้อม เทพทั้งหลาย
รวมทั้งพระอินทร์ก็ต้านทานไว้ไม่ได้ เมื่อเอาหม้ออมฤตออกมาได้ ก็โผสู่นภาแผ่ปีกบังแสงอาทิตย์เป็นสง่า
จนพระวิษณุรู้ทางว่า ห้ามไม่ได้แน่ จึงบอกทักให้รู้ตัวด้วยการตรัสสรรเสริญ
และมอบพรให้พญาครุฑ ซึ่งพญาเวนไตยก็ฉลาดใช่ย่อย น้อมเศียรคารวะ
(ก็มาทลายด่านเค้าไปแล้วนี่) และขอพรแลกไป ๒ ข้อ คือได้น้ำไปล่ะ
ต่อไปจะขอ(ยอม)เป็นพาหนะของพระองค์ชั่วชีวิต (ทำไม
เพราะพระวิษณุ/พระนาราย์นั้นมีพญาอนันตนาคราชเป็นที่ประทับ ดังนั้นหากเมื่อยามจะไปไหนจะบินไปด้วยพญาครุฑ
แล้ว ครุฑก็จะจับหลักรอเหนือพระเศียร ทำเป็นรอ ที่แท้
จะยืนเหยียบหัวพญานาคศัตรูเก่านั่นแหละ) และประการ ๒ คือ ขอให้มีชีวิตเป็นอมตะ
ไม่ต้องดื่มน้ำอมฤตเหมือนเทวาทั้งหลาย พระวิษณุก็จุกไปนิดแต่ก็มอบพรให้
ระหว่างทางกลับ พระอินทร์มีความเสียดายจึงตามมาแย่งคืนก็สู้แรงพญานกไม่ได้
แม้เขวี้ยง วัชระ เทพตราวุธประจำกายใส่สนั่นปานสวรรค์แตก
ก็ไม่ได้ระคายเคืองพญาครุฑเลยเพราะได้รับพรไปแล้ว
พญาครุฑจึงเห็นว่าการต่อสู้
แม้ทำร้ายพระอินทร์ไปก็ไม่มีอะไรดี ทำอะไรกันไม่ได้ว่างั้น จึงยอมสละขน ๑ เส้น
เพื่อแสดงความเคารพ แต่สำทับว่า ต่อไปภายหน้าจะไม่ให้โอกาสแล้ว
(พระอินทร์เห็นตอนสะขน ว่า ขนสีทองสว่างรุ่งโรจนก็หลุดร่วงลง
เปล่งประกายราวกับมีพระอาทิตย์อีกดวง ท่านก็เบรคล่ะ)
พระอินทร์จึงกล่าวถึงเหตุ
และผลของการใช้น้ำอมฤต พญาครุฑตอบว่ายังไงเสียก็ต้องนำหม้อไปเพื่อช่วยมารดา
เลยออกอุบายกล่าวเปรยลอยๆว่า หลังจากที่ข้านำหม้ออมฤตนี่ไปให้นาคแล้ว
จงเป็นหน้าที่ของท่านต่อไปเถิด พระอินทร์พอรู้แกวจึงแอบตามพญาครุฑไปรอจน
พญาเวนไตยนำน้ำอมฤตมาให้เหล่านาคาแล้วได้รับนางวินตาไป
ก่อนนาคจะเข้ารับน้ำอมฤตพญาเวนไตยจอมเจ้าเล่ห์ก็ห้ามไว้ แนะให้ไปชำระกาย และสวดมนต์คายราตรีเสียก่อน
จึงค่อยมาดื่ม เหล่านาคเชื่อ
พระอินทร์ก็ฉวยโอกาสนั้น นำหม้อกลับไปได้ รีบกลับเทวโลกทันที
ขี้โกงอ่ะ
เหล่านาค นาคา ขึ้นมาก็รู้ว่าเสียท่า
เหลือแค่ละอองอมฤตเกาะบนยอดหญ้าจึงหลงพากันเลียน้ำค้างธรรมดาบนยอดหญ้าคา
คมพิษปาดลิ้นจึงทำให้เผ่าทั้งหลายมีลิ้น ๒ แฉกเป็นต้นมา
หลังจากพญาครุฑพาพระมารดาคืนสู่ตำหนักพระกัศยปเทพบิดร
แล้วกลับมาปฏิบัติการจองเวร ไล่จับนาคกินมันเปลว ฉีกคร่าอย่างสำราญใจ
แม้นาคทั้งหลายจะหนีไปอยู่สะดือทะเล
พญาครุฑก็กระพือปีกแหวกน้ำออกจับนาคขึ้นมาได้อีก พญาวาสุกิเห็นไม่ดีจึงทำสัญญาต่อพญาครุฑว่าจะทำพิธีสังเวยนาคแก่พญาครุฑวันละตัว
ณ ลานหินริมฝั่งทะเล เป็นการทำ MOU ว่า ไม่มีพื้นที่ใดอื่นให้จับฉีกเล่นอีก แต่ครุฑก็คือครุฑ
#หากมีเกร็ดกล่าวว่า ในสนธิสัญญานั้น
มีพื้นที่บางจุดที่นาคและครุฑสัญจรผ่านกันได้ เป็นเขตปลอดอาหาร หากนอกเหนือเขตนี้
เทวดาครุฑก็ไม่สน ถ้านาคใดโผล่ขึ้นมาล่ะก็ครุฑสอยไปกินไม่รู้ด้วย
ซึ่งบางพื้นที่มันก็เป็นแบบนั้น ยิ่งนาคน้อยแสนซนชอบขึ้นมาดูมนุษย์จะโดนกันบ่อย
ทำให้คดีพี่น้องครุฑนาคและบริวารตีกันไม่มีทางจบสิ้น
ต่อมาทางนาคก็แก้ทาง
การถูกโฉบขึ้นไปสูบเปลวมัน(ครุฑจะกินมันเปลวนาค ส่วนที่ร่างแหลกกันเนี่ย
ครุฑเขาเอาสนุกฉีกเล่นบ้าง เขวี้ยงลงมาบ้าง)
นาคก็แก้ทางโดยกลืนกินก้อนหินทุกวันทำให้ตัวหนัก เมื่อพวกครุฑมาจับที่หัวลากไป
จึงถ่วงพวกครุฑจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก (พวกครุฑมันโง่จึงจับที่หัว
ถ้ามันจับหางนาคหินก็จะไหลออกจากปากสามารถนำพวกนาคเราไปฆ่าได้)
ฝั่งครุฑนั้นเมื่อพวกตัวเองตายหนักเข้า
จะไปฟ้องเทพก็ไม่ได้ เพราะฉีกสนธิสัญญาปรองดองเอง
เลยแอบไปถามฤๅษีทุศีล(ที่แอบมาถามนาคไว้แล้ว)
เมื่อพญาครุฑทราบจากผู้ทุศีล
ก็ปรี่เข้าไปจับขนดหางพญานาคโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไป
พญานาคเมื่อทราบความลับถูกเปิดเผลแล้ว จึงคร่ำครวญว่า ภัยเกิดจากตัวเองแท้ๆ
ที่พูดพล่อยไม่ปิดบัง บอกความลับแก่ใคร จึงได้บอกออกไปน่าเจ็บใจจริง ๆ
#สัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีในโลก #ขึ้นชื่อว่าความลับไม่ควรบอกใครไม่ว่าจะเป็นบิดามารดาพี่น้องแม้กระทั่งภรรยาและบุตรธิดา
แล้วครุฑได้กล่าวเป็นคาถาว่า #บัณฑิตไม่พึงเปิดเผยความลับพึงรักษาความลับนั้นไว้เหมือนรักษาขุมทรัพย์
เพราะว่าความลับบุคคลรู้อยู่ไม่เปิดเผยได้เป็นการดีบัณฑิตไม่ควรบอกความลับแก่สตรีศัตรูคนที่ใช้อามิสล่อ
และคนผู้ล้วงความลับ
นาครู้ตัวว่าจะตาย
ก็กระอักโลหิตตกลงมายังแผ่นดินกลายเป็นมรกตชนิดหนึ่ง
เลือดของนาคที่หยอดลงพื้นกลายเป็นมรกตนาคสวาท น้ำลายครั้งสุดท้าย พระยานาคอันตกลง
เป็นครุฑธิการตามชายหาดนั้นเอง
มีต่อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น