ทางฮินดู นับนาค 3 ตนเท่านั้น ที่ได้ชื่อว่า #นาคราช ได้แก่ เศษะ วาสุกี และ ตักษกะ
ทั้งหมดเป็นบุตรของพระฤๅษีกัศยปะกับนางกัทรุ
นอกนั้นไม่อาจจะเรียกว่านาคราชได้
เป็นเพียงนาคเฉยๆ ส่วนหนังอินเดียที่ฉายเป็นชื่องูใหญ่
สังเกตง่ายๆคือไม่มีหงอนไม่มีเชื้อสาย เป็นนางงูใหญ่เท่านั้นเอง
กลับมาที่นาคราชที่เป็นหลัก อันได้แก่
• เศษะ หรือ อนันตนาคราช เป็นบุตรตนโต
โอรสของพระกัศยปเทพบิดรกับนางกัทรุผู้อุทิศตนรับใช้พระวิษณุ
เป็นพระแท่นบรรทมของพระองค์เมื่อทรงบำเพ็ญโยคนิทรา
ซึ่งรู้จักในชื่อนารายณ์บรรทมสินธุ์
คำว่า เศษะ หมายถึง ผู้ไม่มีที่สิ้นสุด
หรือนาคราชผู้ไม่มีที่สิ้นสุด เกินประมาณ ด้วยพลังและขนาดองค์ที่เกินประมาณ เศียร
ยามทรงอิทธิเต็มพละนั้นมากถึง1,000เ เศียร เชื่อว่า
เศษนาคทำหน้าที่เป็นผู้แบก14ภพของจักรวาลเอาไว้ทั้งบนเศียร1,000 และเป็นบัลลังก์ ของ
พระวิษณุวิษณุนารายณ์ปรมนาท ยามที่พระองค์ทรงบรรทมเหนือกเษียรสมุทร
• วาสุกี หรือ วาสุกรี เป็นบุตรคนรองผู้รับใช้พระศิวะ
ให้ทรงใช้เป็นสังวาลย์ห้อยพระศอ
และเสียสละร่างกายเป็นเชือกกวนเกษียรสมุทรแก่เหล่าเทพและอสูร
• ตักษกะ เป็นศัตรูของพระอรชุน ต่อมาพ่ายแพ้จึงถูกเนรเทศไปอยู่ตักศิลา
ไม่ค่อยมีบทบาทเกี่ยวกับเทพเท่าไหร่นัก
นาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว
แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้น-นาคราช จึงมีสามเศียร ห้าเศียร
เจ็ดเศียรและเก้าเศียร
นาคมีกำเนิดตามบุญบารมี ซึ่งเหล่าสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช
(อนันตนาคราช) นาคราช และนาค นั้น
กำเนิดตามเผ่าพันธุ์และบุญ เกิดอย่างโอปาติกะ เกิดจากครรภ์และจากไข่ รวมทั้งมูทไคล(สังเสทชะ)
ทั้งเกิดในน้ำและบนบก
มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ
นิยมความสวยงาม ยามแปลงร่างเป็นมนุษย์จึงมีรูปร่างสวยงาม
นาคกับงูใหญ่ ต่างกันคนละระดับ หากจะดูว่าเป็นงูใหญ่ก็จะมีหงอน
ต่างจากงูทั่วไปที่ถือเป็นบริวาร ซึ่งส่ำสัตว์นี้จึงเป็นอีกชั้นโดยสิ้นเชิง ทีนี้เวลาดูทีวีดูหนังก็แยกได้ง่ายขึ้นล่ะ
พอไปค้นดู ขันธะปริตตะคาถา
พระไตรปิฎก แสดงไว้ว่า พญานาคนั้น มี 4 ตระกูล คือ
1. วิรูปักษ์ (ตระกูลสีทอง)
2. เอราปถ (ตระกูลสีเขียว
3. ฉัพพยาปุตตะ (ตระกูลสีรุ้ง)
4. กัณหาโคตรมะ (ตระกูลสีดำ)
4 ตระกูลนี้ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่
และได้กระจัดกระจายขยายเผ่าพันธุ์ออกเป็น 2 สาย คือ นาคบก อาศัยในป่าหิมพานต์ เรียกว่า
ถลชะ และพวกที่อาศัยในมหาสมุทร (น้ำ) เรียกว่า ชลชะ
นาคกำเนิดเป็นไปตามบุพกรรมและบุญ มี 4 แบบ คือ ผุดเกิด เกิดจากน้ำเน่า
เกิดจากครรภ์ และเกิดจากไข่
1.โอปปาติกะพญานาค เป็นนาคพวกกายทิพย์ผุดเกิดจากบุญบารมี
2.ชลาพุชะพญานาค เป็นนาคพันธุ์เกิดในครรภ์
3.อันฑชะพญานาค เป็นนาคพันธุ์เกิดในไข่
4.สังเสทชะพญานาค เป็นนาคพันธุ์เกิดจากเหงื่อไคล
แบ่งตามลักษณะการทำอันตราย 4 รูปแบบ ได้แก่
1.ทัฏฐะวิสาพญานาค เมื่อขบกัดแล้วจะเกิดพิษซ่านไปทั่วร่างกาย
2.ทิฏฐะวิสะพญานาค ใช้วิธีมองแล้วพ่นพิษออกทางตา
3.ผุฏฐะวิสะพญานาค ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษแผ่ซ่าน
4.วาตาวิสะพญานาค มีพิษที่กาย จะแผ่พิษจากตัว
แบ่งตามความรุนแรงของพิษ 4 คือ
1.อาตตะวิสนะโฆระวิสะ มีพิษแผ่ซ่านออกไปอย่างรวดเร็วแต่ไม่รุนแรง
2.โฆระวิสนะอาคตะวิสะ มีพิษรุนแรงมาก โดยพิษนั้นแผ่ซ่านออกไปช้าๆ
3.อาคตวิสนะโฆระวิสะ มีพิษแผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก
4.นะอาควิสนะโฆระวิสะ มีพิษแผ่ช้าๆและไม่รุนแรง
ถ้าเขียนผิดขอภัย อย่างไรก็ดี
ความรุนแรงก็ขึ้นกับประสงค์ของการปล่อยพิษ และระดับของนาคหรือพญานาคตนนั้นๆ
ตระกูลพญานาค
พญานาคตระกูลสีทอง
เป็นพญานาคในตระกูลสูงสุด
เป็นการกำเนิดพร้อมบุญบารมี มีอำนาจเรียกว่าแต้มบุญสูง มีจิตเต็มพลัง
จึงเป็นผู้ดูแลพญานาค นาคชั้นรองๆลงมาได้
มีกำเนิดแบบโอปปาติกะ คือเกิดแล้วโตทันที
พญานาคในตระกูลนี้จะอาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้น
จาตุมหาราชิกา (สวรรค์ระดับนี้จะเป็นพื้นที่บุญสัมฤทธิ์ขั้นต้นๆ
โดยมีเทวดาเป็นใหญ่ ๔ องค์ มี
๑) ท้าวธตะรฐะ เป็นเทพผู้เป็นใหญ่ทางทิศตะวันออก
บางครั้งจะมีชื่อว่า “อินทะ” ซึ่งเป็นเทพที่ปกครองคนธรรพ์เทวดา
๒) ท้าววิรุฬหกะ ซึ่งบางครั้งมีชื่อว่า
“ยมะ” เป็นผู้ปกครองเทพทางทิศใต้ ปกครอง
เทพชั้นกุมภัณฑ์
๓) ท้าววิรูปักขะ บางครั้งมีชื่อว่า “ท้าววรุณ” เป็นผู้ปกครองเทพทางทิศตะวันตก
เทพชั้นนาค
๔) ทางทิศเหนือ มี ท้าวกุเวร
ซึ่งบางครั้งชื่อว่า เวสสุวัณ เป็นผู้ปกครองเทวดาชั้นยักษ์
เทพชั้นนี้ยังมีผัสสะ ผลบุญสำแดงเป็นรูปลักษณ์และรัศมีไม่มากมาย
พวกพญานาคอยู่ในการปกครองของท้าววิรูปักษ์
ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก
(เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ )
พญานาคในตระกูลสีทอง เป็นเพียงตระกูลเดียวพญาครุฑไม่สามารถทำร้ายได้เด็ดขาด ส่วนตระกูลอื่นขึ้นกับบารมีที่เข้าสมาบัติ ลักษณะ
ลำตัวสีรุจน์อุไรวรรณจันทราภา มีเกล็ดทองคำบุศรินทร์ หรือสีทองมหิธาสุวรรณชาด
เชื่อว่าเป็นพญานาคที่มีอิทธิฤทธิ์และพลังอำนาจมากที่สุด
สามารถทำร้ายคู่ต่อสู้ได้แม้แค่ใช้สายตา พญานาคตนใดกำเนิดมาจากวงศ์ตระกูลนี้ ให้ถือว่าเป็นผู้ที่มากด้วยบุญญาบารมี
ต่อมา ตระกูลสีเขียว เป็นชนชั้นรองลงมา
ปกครองปตาล
หรือบาดาลที่เรารู้จักกัน
เชื่อว่าอาศัยอยู่ในเมืองนี้อยู่
ลึกลงไปจากใต้ดินถึง 1
โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร บางพวกอาศัยอยู่ในถ้ำ ลึกถึง
50 โยชน์ หรือ 800 กิโลเมตร
เชื่อว่าเป็นพญานาคตระกูลที่พบได้มากที่สุด มีลำตัวเขียวมรกตจงกลนี
เกล็ดมรกตสีไพลมณีรัตนชาติ มักขึ้นมาบนโลกมนุษย์บ่อยครั้ง
จึงทำให้เกิดตำนานรักมากมายระหว่างพญานาคตระกูลนี้ เป็นพญานาคในชั้นบารมีรองลงมา
ก็รับหน้าที่ปกครองในระดับรองลงมา
ตระกูลสีรุ้ง เป็นวรรณะในระดับที่ 3
บางตำราว่า มีกำเนิดจากไข่
เรื่องนี้อยู่ที่บุญเก่ากับเชื้อสายมากกว่า สีรุ้งที่ว่าบางตำราเรียกว่าหลากสี
นาคตระกูลนี้ส่วนใหญ่จะมีกายสีเลื่อมรุ้งมรุลี สีโกเมนสุริยฉัตรปภัศร
เป็นตระกูลที่พบได้น้อย
ตระกูลสีดำ กัณหาโคตมะ
พญานาคในตระกูลนี้ส่วนใหญ่จะนอนหลับเป็นระยะเวลานาน มีกายเป็นนิลกาฬมหิธร มีเกล็ดเป็นนิลปาศรอมรสุภรัตน์
พญานาคในตระกูลนี้ส่วนใหญ่จะเป็นบริวารของพญานาคในตระกูลอื่น
อาจจะจะเน้นทำบารมีเพิ่ม
ไม่ค่อยออกมาเสี่ยงกับการบริหารวงวารที่ทำให้อารมร์เสียบ่อยๆก็ได้ พญากาฬนาคราช เป็นผู้นอนรอรับถาดทองคำ
ที่องค์พระโพธิสัตว์ทรงอธิษฐานก่อนบรรลุธรรมเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นไม่ธรรมดานะนั่น
นาคราชที่มีหน้าที่แต่ละด้านจะสามารถขึ้นไปสวรรค์ชั้นอื่นได้เมื่อมีคำสั่งลงมา
ซึ่งก็อาจเข้าไปไม่ถึง สุธรรมาเทวสภา หรือก็ตามแต่หน้าที่ เรียกทำงานอีกเหมือนกัน
แต่ ที่ #เผ่าพันธุ์มนุษย์สร้างขึ้นมาเป็น 9 ตระกูล น่าจะมากเกินไป
ตอนเขียนกันไปกว่า 70 ชื่อ ที่คุ้นกัน 9 ชื่อ
ซึ่งถูกนำมาสร้างเรื่องใช้หากินซะมาก ได้แก่ ๑.อนันตนาคราช ๒.มุจรินทร์นาคราช
๓.ภุชงค์นาคราช ๔.ศีรสุทโธนาคราช
๕.ศรีสัตตนาคราช ๖ เพชรภัทร นาคราช
หรือเกล็ดแก้วนาคราช
๗.นาคดำแสนสิริจันทรานาคราช ๘.
ยัสมัญนาคราช
๙.ครรตะศรีเทวานาคราช
เห็นมั๊ยว่า นอกจาก ๒ องค์แรกแล้ว
เป็นชื่อที่พบในพิธีมากกว่า ขนาด พญาวาสุกิท่านยังไม่ติดโผเลย แต่ก็ดีแล้วล่ะ
ว่าไปก็แปลกนะ เอาเป็นว่าวันนี้
มีการสร้างเรื่องจากตำนานริมแม่น้ำโขงมากมาย จนลืมไปว่านาค พญานาค
เป็นผู้ไปทางน้ำทุกที่ทุกแห่งหนจะน้ำตก น้ำจืด น้ำทะเล มหาสมุทร
เมื่อนาคราชกำเนิดด้วยเชื้อบารมี
ระดับพญานาคนั้น มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ด้วยผลบุญเก่าที่เคยสร้างไว้
จึงนำพาให้มาเกิดในภพภูมิพญานาค เมื่อเกิดมาแล้วก็หมั่นสร้างบุญกุศลด้วยการต่อยอดบุญเดิมของตนเองจากการปฏิบัติธรรม
ซึ่งจะช่วยยกระดับสภาวจิตตนเองให้สูงเพื่อการหลุดพ้น
จึงไม่น่าจะปรารถนาเครื่องบัดพลีบวงสรวงใดๆ เนื่องด้วยบำเพ็ญบุญบารมีมามาก
สภาวะจิตย่อมเหนือกิเลสต่ำๆ SO ของบูชาในเชิงวัตถุจึงปะเหมาะกับเทวดา นางไม้ เจ้าที่ ซึ่งเป็นเทวดาที่ยังหมกมุ่นในกิเลสมากกว่า
ดังนั้น
ระดับนาคราชย่อมไม่เป็นของเล่นให้ มนุษย์ขี้เหม็นแน่นนอน
ก็เช่นเดียวกับเทพระดับสูงทั้งหลาย
ดังนั้น ที่โลกเขละๆนี้พบเห็นจึงน่าจะเป็น นาคชั้นล่าง ภูติ เปรต อสุรกาย
(ถ้าอยากจะเชื่อนะ)
พญานาคจะสามารถแปลงกายเป็นอะไรก็ได้
โดยมี 5 สภาวะ ที่นาคจะต้องปรากฏร่างแท้จริงออกมาเช่นเดิม
คือ
1. ขณะเกิดเป็นนาค
2. ขณะลอกคราบ
3. ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค
4. ขณะนอนหลับโดยไม่ได้สติ
5. เมื่อสิ้นใจ
ถึงก่อนสิ้นใจจะจำแลงเป็นภาวะอื่น ก็จะกลับเป็นนาคตามเดิม
ตำนานครุฑกับนาค 1
พญาครุฑและพญานาคราช
เอ่ยแบบนี้เป็นอันรู้กันว่า ระดับไม่ใช่นิ๊งหน่อง ที่เสพของบัดพลี ข้างบ้านแน่นอน
เริ่มจากต้นตระกูลฝั่งบิดา คือ พระกศยปเทพบิดรนั้น
ท่านเป็นหนึ่งในเจ็ดมหาฤาษีของโลก ที่เรียกว่าสปตะฤาษี ฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 7 ตน
ซึ่งได้รับเกียรติและการเคารพสูงสุดจากพระผู้เป็นเจ้าในฐานะคุรุและมหามุนี
ในคัมภีร์ศตปถพราหมณะ ระบุชื่อว่า 1.โคตม 2.ภัทรวาช 3.วิศวามิตร 4.ชมทัศนี 5.วศิษฐ์ 6.กัศยป และ 7.อัตริ
พระกศยปเทพบิดร
นอกจากจะเป็นสปตะฤาษีท่านยังรั้งตำแหน่งเป็นพระมหาประชาบดีที่ยิ่งใหญ่ของโลก
เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดมวลมนุษย์เเละเทพเทวะทั้งปวงตลอดจนสร้างกลไกสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
ในบางตำราก็ว่า เป็นพระบิดาของพระนารายณ์ ในวิษณุปุราณะก็กล่าวว่า เป็นบิดาของมหาฤๅษีนารทมุนี
(องค์นี้ก็เรื่องยาว) ซึ่งพระฤๅษีกัศยปเทพบิดรองค์นี้ยิ่งใหญ่ในตบะฌาณทรงศักดิ์และทรงสิทธิ์เหนือมวลเทพเจ้าทั้งปวง
พระกศยปะ มีอัครมเหสีชื่อ พระอทิติ
และมีมเหสีฝ่ายซ้าย (องค์รอง) คือ นางทิติ แล้วก็มีชายาอีก 13 องค์
กศยปเทพบิดร
มีโอรสที่เราได้ยินพระนามบ่อยๆอยู่มาก เช่น กลุ่ม*อาทิตย์ทั้ง 8 คือ สุริยาทิตย์, วรุณาทิตย์, มิตราทิตย์, อริยมนาทิตย์, ภคาทิตย์, องศาทิตย์, อินทราทิตย์ และธาตราทิตย์
โดยเป็นโอรสที่เกิดกับนางอทิติอัครมเหสี พูดง่ายๆ คือพระมหาฤาษีองค์นี้
เป็นพ่อของพระอินทร์ พระอาทิตย์ พระวรุณ พระยม เป็นต้น กล่าวง่ายๆ
คือลูกของท่านล้วนกุมกลไกต่างๆ ในมหาจักรวาลไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ลูกกัศยป องค์อื่นๆ ยังมีอีก เช่น
มารุต (ลมหรือพระพาย) และแทตย์
เกิดกับนางทิติ พระมารุตหรือพระพายที่เป็นบิดาของหนุมานก็เป็นบุตรของพระองค์
พญานาค กับ พระอรุณ เกิดกับนางกัทรุ
พญานาคที่เกิดเป็นโอรสนี้ก็รวมไปถึงองค์อนันตนาคราช
บรรพบุรุษแห่งสายนาคพันธุ์ทั้งปวง
ทานพ เกิดกับนางทนุ
ปีศาจ เกิดกับนางโกรธศา
อสุรินทรราหูผู้เป็นใหญ่แห่งอสุรกายภูมิผู้ได้รับขนานนามว่า
เป็นบิดาแห่งมาร ก็เป็นบุตรที่เกิดจากพระกัศยปะเทพบิดรกับนางสิงหิกาด้วย
ส่วน
ครุฑบุตรของพระกศยปะเทพบิดรที่เกิดกับ นางวินตา
เป็นจอมครุฑพญาสุเรนทรชิตที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์
เป็นครุฑที่ชนะพระอินทร์มีอานุภาพเสมอด้วยพระนารายณ์ เรียกขานกันว่า พญาเวนไตย!!!
**ตามตำนานอุปาติกะกล่าวว่ามีรูปครึ่งนก
ครึ่งมนุษย์ กึ่งเทวดา มีลักษณะ
• หัว , ปีก ,เล็บ
เหมือนนกอินทรีย์
• ตัวและแขนขาเหมือนคน
• หน้าขาว ปีกแดง ตัวเป็นสีทอง
พญาครุฑมีชายาชื่อนางอุนนติหรือนางวินายกา และมีบุตรชื่อ สัมปาติ
ซึ่งได้เป็นผู้ชี้ทางให้หนุมานไปลงกา
แต่ในรามเกียรติ์เรียกสัมพาที นิสัยสุขุม กล้าหาญและเสียสละรักน้องมาก
ได้ชื่อว่าเป็นนกแห่งความเสียสละ อันเกิดจากครั้งหนึ่งเจ้าน้องตัวแสบ-สดายุเห็นพระอาทิตย์ตอนเช้าตรู่สีแดงสดใสคิดว่าเป็นผลไม้สุกจึงโผไปจะจิกกิน
ทำให้พระอาทิตย์กำลังทำงานจะออกแสงให้โลกจึงโกรธมาก จึงเปล่งแสงที่ร้อนแรงออก
ถ้าโดนสดายุไหม้เป็นจุณแน่!! สัมพาทีจึงบินไปกางปีกบังแสงอาทิตย์ไม่ให้เผาน้องชาย
จนขนนกสัมพาทีไหม้หมด สัมพาทีองก็ใช่ว่าจะองค์เล็ก โผไปขัดพระสุริยาทิตย์ท่าน
เข้าท่านก็กริ้วซ้ำอีก และพระอินทร์ยังได้สาปนกสัมพาทีให้อยู่แต่ในถ้ำที่เขาเหมติรัน
ส่วนน้องตัวแสบกายสีเขียวชื่อสดายุ ออกแนวขี้โมโห ก็คงเป็นตามชาติกำเนิด เป็นเพื่อนกับท้าวทศรถผู้เป็นพระบิดาของพระราม
ไปออกเเรงจนตัวม่อยกระรอกในบทรามเกียรติ
ในอมรโกศ,ป.รถมมกาณ.ฑ กล่าวชื่อพญาครุฑไว้มาก เช่น ครุตมัต(สัตว์มีปีก) ครุฑ (ชื่อครุฑ คือผู้รับภาระอันหนัก ไม่ว่าภาระใด ๆ
ก็สำเร็จลุล่วงทุกครั้งไป มีพลังมหาศาลไม่มีวันพร่อง ได้มาจากตอนไปขอน้ำอมฤต แล้วได้พรจากฤาษี
(ดูตำนานครุฑ)
อีกชื่อที่ไพเราะ คือ กาศยปิ
และเวนไตย(เหล่ากอกัศยปและนางวิตา ) คคเนศวร (เจ้าแห่งอากาศ); ขเคศวร(ผู้เป็นใหญ่แห่งนก); นาคนาศนะ (ศัตรูแห่งนาค) วิษณุรถ (ยานของพระนารายณ์) สุบรรณ ( ผู้มีวรรณะเป็นสีทอง ) สุเรนทรชิต (
ผู้ชนะพระอินทร์ )และยังมีชื่ออื่นๆอีกเป็นอันมาก
โดยสมมุติขึ้น จากฤทธิ์ จากเดชเหตุการณ์
หรือความเป็นอยู่แห่งพญาครุฑ-ครุฑตนนั้นๆ กาศยป/ไวนเตยะ/สุวรรณกาย/ปันนคนาสน์/ขเดศวร/สุบรรณ
/วิษณุรถ/.นาคานดก/ขนบคาศน์
กลับมาพูดถึงองค์พ่อดีกว่า พญาครุฑเวนไตยนี้
เมื่อเกิดมามีรัศมีช่วงโชติจนพวกเทวดาหลงเข้าใจผิดว่าเป็นพระอัคนี พญาครุฑมีมหิทธิฤทธิ์มาก
จากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งนับได้ 150 โยชน์ เวลากระพือปีกครั้งหนึ่งข้ามถึงไกรลาส
และสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่ เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นไปได้
ที่อยู่ของครุฑเรียกว่า สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว
อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ความไม่ยอมหย่อนแต้มให้ใครแม้แต่พระวิษณุ ปรากฏเรื่องตอนที่พญาครุฑลอบเข้าไปลักน้ำอมฤต
และนำไปถ่ายความเป็นไทแห่งพระมารดา ที่ต้องตกไปเป็นทาสพระมารดาพญานาค พอพระวิษณุจับได้ ( บางตำราว่าพระอินทร์เป็นผู้เห็น
ได้รบกับพญาครุฑแต่พระอินทร์ไม่ชนะขาด
พญาครุฑจึงมีนามว่าสุเรนทรชิต ) รบกันเท่าใดก็ไม่แพ้ชนะกัน จึงตกลงยอมเป็นมิตรไมตรีต่อกัน
โดยมีข้อสัญญาว่าในเวลานั่งปกติพญาครุฑจะนั่งสูงกว่าคือไปจับเยื้องเหนือพระเศียรซะงั้น และพญาครุฑจะต้องเป็น พาหนะ ให้พระวิษณุทรง
อานุภาพของครุฑจึงเป็นที่อัศจรรย์ของทั่วโลกธาตุ นอกจากนี้ยังมีประวัติอีกว่าพระอินทร์เองก็เคยลองฤทธิ์กับพญาครุฑใช้วัชระฟาด
แต่พญาครุฑ หาได้เป็นอันตรายแต่อย่างใด
จนพระอินทร์มียอมรับอานุภาพของพญาครุฑในที่สุดพญาครุฑจึงได้สลัดขนตนเองออกมาหนึ่งเส้นถวายแก่พระ
อินทร์เพื่อเป็นเกียรติแก่พระอินทร์ด้วยเช่นกัน
ความหมาย เวนไตย อ่านว่า เว นะ ไต
แปลว่า ลูกของนางวินตา หมายความว่า ครุฑ ด้วย เป็นพญาวิหค เจ้าแห่งนกทั้งปวงด้วย
--------------------------------**************--------------------------------
มีต่อ......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น