วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ครอบครัว มีความหมาย แล้วที่คนมาเกิดมาอยู่ร่วมกัน แบบไหนเป็นครอบครัว เลือดไม่ข้นมันไม่แปลก

ละครฮิต อาจทำให้คิดว่าคนต้องเลืิอดข้น 
ข้นขนาดไหนถือว่าเลือดคน ๕๕๕  ความหมายมันคือกลุ่มคนที่ข้นด้วยความผูกพัน ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ุ 

ครอบครัว หมายถึง กลุ่มบุคคลที่มีความผูกพันและใช้ชีวิตร่วมกัน ทำหน้าที่เป็นสถาบันหลัก เป็นแกนกลางของสังคมที่เป็นรากฐานสำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิต ครอบครัวมีหลากหลายรูปแบบและหลายลักษณะ นอกเหนือจากครอบครัวที่ครบถ้วนทั้งบิดา มารดาและบุตร
ในตำราเรียนบางเล่ม กล่าวว่า

สถาบันครอบครัว หมายถึง แบบแผนพฤติกรรมที่คนที่มาติดต่อเกี่ยวข้องกันในเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวและเครือญาติจะต้องปฏิบัติตาม นั่นคือคนที่เป็นญาติกันโดยสายเลือด เช่น เป็นพ่อแม่ พี่น้องกัน เป็นญาติกันทางการแต่งงาน เช่น เป็นสามีภรรยา เป็นเขยสะใภ้กัน หรือการรับไว้เป็นญาติ เช่น เป็นบุตรบุญธรรม เป็นต้น คนเหล่านี้จะต้องปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์แบบแผนที่สังคมเป็นผู้กำหนดขึ้น เรียกว่า สถาบันครอบครัว ซึ่งครอบคลุมแนวทางในการปฏิบัติในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ คือ การเลือกคู่ การหมั้น การแต่งงาน การเลี้ยงดูลูก การอบรมขัดเกลา การหย่าร้าง และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวและเครือญาติทั้งหมด
ครอบครัวเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นแหล่งบ่มเพาะปลูกฝังคุณค่าต่างๆ ของสังคม
ในจำนวนที่มากขึ้นทุกปี มีครอบครัวจำนวนมากที่ไม่ได้ ‘ผูกพัน’หรือ ‘อยากใช้ชีวิตร่วมกัน’
ดังนั้น จึงไม่สามารถเรียกว่าครอบครัว 
ในสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น คนมีนิยาม คำว่า ครอก อาจจะใช้แบบนี้ได้มั๊ง 
จากรูปหมู่ที่ถ่ายร่วมกัน ที่จริงอาจมีนัยยะ ‘อำนาจ’ ซ่อนอยู่ใต้ความสัมพันธ์และกิจกรรมต่างๆ ของครอบครัวและคนในครอบครัว
ในภาวะปกติ เราอาจไม่รู้สึกถึงการทำงานของอำนาจเหล่านี้มากนัก แต่เมื่อถึงคราวคับขันสิ่งที่แต่ละคน แต่ละครอบครัว พยายามทำ ก็คือการ ‘ควบคุม’ กันและกันโดยใช้ฐานอำนาจหลายๆ แบบมาคัดง้างกัน
ที่จริงแล้ว การที่ตำราเรียนบอกว่า สถาบันครอบครัว เป็นแกนกลางของสังคมที่เป็นรากฐานสำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิตในด้านหนึ่งต้องบอกว่าถูกต้อง
เพราะครอบครัวก็คือแบบจำลองของสังคม
อำนาจในครอบครัวคือ ‘ความสามารถ’ ในการบริหารจัดการการควบคุมโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เป็นกลไกบังคับ
บางคนไม่แสดงถึงอำนาจแต่ใช้ว่าจะไม่รู้ #อะไร ในวังวนนั้นเลย
ความรู้เฉพาะ’ (specific knowledge) ในบางเรื่อง เป็นความรู้ที่คนอื่นๆ ในครอบครัวไม่รู้ คนที่รู้ข้อมูลนี้จะมีอำนาจในการควบคุมบังคับคนอื่น โดยอาจควบคุมบังคับอย่างเปิดเผยก็ได้ หรือจะใช้วิธีชักใยอยู่เบื้องหลังก็ได้เช่นเดียวกัน
เด็กผู้หญิงจากชนเผ่า ในแอฟริกาใต้ แต่งงานอายุราวๆ สิบกว่าขวบ กับผู้ชายที่แก่กว่าเธอมาก การแต่งงานจะเกิดขึ้นโดยพ่อแม่ของเด็กหญิงเป็นคนจัดการ เมื่อแต่งแล้ว เจ้าบ่าวต้องมาอยู่กับครอบครัวเจ้าสาวเพื่อช่วยล่าสัตว์หาอาหาร
การให้ฝ่ายชายมาอยู่ที่บ้านฝ่ายหญิง สิ่งที่เป็นตัวกำหนดสมดุลอำนาจในครอบครัว เป็นพันธมิตรกันระหว่างพ่อแม่ลูกของเด็กหญิง กล่าวคือถ้าเด็กหญิงเป็นพันธมิตรกับพ่อแม่ ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกแข็งแรง ฝ่ายชายก็จะมีอำนาจในครอบครัวน้อยลง จึงเกิดสมดุลอำนาจขึ้นถึงขั้นที่เด็กหญิงสามารถ ‘วีโต้’ การตัดสินใจต่างๆ ในครอบครัวได้เลย
เรื่องนี้ไม่เหมือนกับครอบครัวชาวจีนแบบดั้งเดิม 
หลายคนอาจรู้สึกว่าระบบของครอบครัวจีนนั้นแลดูกดขี่ผู้หญิง แต่ในอีกด้านหนึ่ง แม่สามีก็เคยเป็นภรรยาที่ถูกกดขี่มาก่อน #หญิงที่มาเป็นสมาชิกใหม่มีการทดสอบและขัดเกลาเพื่อให้ผู้หญิงที่มาใหม่ต้อง conform กับระบบความเชื่อของครอบครัวใหม่#แต่เมื่อเวลาผ่านไป เธอจะค่อยๆ ทวีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนเข้ามาแทนที่แม่สามีในที่สุด
มันคือการสร้างพันธมิตรกับพ่อแม่ (Parent-Child Alliances) น้อยมาก แตกต่างจากเด็กหญิงแอฟริกาที่โครงสร้างครอบครัวบีบให้พ่อแม่และเด็กหญิงต้องรักษาความเป็นพันธมิตรกันเอาไว้
โบราณท่านว่า..
คู่กันแล้วไม่คล้วกัน ถ้าเป็นเนื้อคู่กันมันต้องได้เจอ

ทำให้นึกถึงสมัยก่อนเวลาไปงานศพหรือปิดทองงานวัดแทบจะเอาแขวนคอไปด้วยเลย...กล้วหายยิ่งช้างดาวด้วยนะยิ่งต้องระวัง
#เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ #positivethinking #quotes #ข้อคิดเตือนใจ #notatourist #NoMercy

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561

คุณค่าของคน

คนทุกคน สิ่งของทุกอย่าง มีคุณค่าในตัวเอง
แต่การอยู่ ผิดที่ ผิดทาง
หรือผิดเวลา ต่างหาก
ที่ทําให้คุณค่าเหล่านั้น
ลดลงหรือหายไป

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2561

นาค นาคี นาคา นาคราช พญานาค พญาครุฑ วงวารสงคราม ๒


ตำนานครุฑกับนาค 2

เริ่มเรื่องวุ่นวายของสองสายเลือดเดียวกัน(งงมั๊ย) คือที่ผู้แม่นางวินตา ซึ่งเป็น ๑ ในชายาจำนวนมากมายของพระฤษีกัศยป และมีน้องสาวชื่อว่า กัทรุ หรือ สรุสา (ซึ่งก็เป็นชายาด้วยเหมือนกัน)
ทั้งสองพี่น้อง ครั้งหนึ่งคอยดูแลพระฤษีกัศยปเทพบิดร จนเป็นที่พอใจ และได้ให้พรแก่ทั้งสองนาง
ฝ่ายน้องสาวได้ขอพรก่อน โดยขอไว้ว่า ข้าพเจ้าขอมีบุตรเป็นนาค ๑๐๐๐ ตัว มีฤทธิ์ร้ายแรง และแปลงได้ได้สารพัด ดังใจนึก พระมุนีฤษีก็ให้พรนั้นแก่ชายาไป
ฝ่ายนางวินตานี่ขอว่าให้ข้าพเจ้าของมีบุตรเพียง ๒ แต่ขอให้มีเดชล้นฟ้า หาผู้ใดเสมอมิได้ จงมีชัยชนะเหนือนาคทั้งหลาย ทุกเมื่อ
พระเทพบิดรก็ให้พรไป และพูดกลับแก่นางวินตาเหมือนรู้ทันว่า.....เจ้าจะได้พรดังขอ แต่เจ้าของพรด้วยจิตริษยาต่อน้องของเจ้า เจ้าได้ผูกเวรขึ้นมาแล้ว และมันจะทำให้เจ้าตกระกำลำบากมากมายจนเลือดตากระเด็น แต่อย่างไรเสีย เจ้าจะพ้นทุกข์เวรนี้ได้เพราะบุตรของเจ้า ผู้เป็นลูกกตัญญู กล่าวจบ พระฤษีกัศยป ก็ขึ้นสวรรค์ไปช่วยพระอินทร์กวนอมฤต
ไม่นานทั้ง ๒ พี่น้อง ก็คลอดบุตรออกมาเป็นไข่ ฝ่ายนางกัทรุ ได้เป็นไข่ ๑๐๐๐ ฟอง และนางวินตา คลอดออกมาเพียง ๒ ฟอง
 แต่
เวลาผ่านไป ๕๐๐ ปี ไข่นางกัทรุแตกออกมาเป็นนาคทั้งหมด บังเกิดความอิจฉาแก่ผู้พี่เสมอ จนทำให้ตบะแตกลงทุน ทุบ ไข่ฟองแรก ปรากฏว่ามีกุมารอยู่ในนั้นคนหนึ่ง แต่มีร่างกายแค่ท่อนบน คือ พระอรุณ//พระอรุณ เห็นแม่ทำดังนั้นก็โกรธมาก สาปแม่ทันทีว่า ดูก่อน แม่ช่างทำแก่ข้าได้ ข้ามีร่างการครึ่งตัวเช่นนี้เพราะความขาดสติแท้ ๆ นับแต่นี้ไป แม่จงตกเป็นทาสของนาง กัทรุและพวกนาคทั้งหลาย จะต้องทนทุกข์เวลาช้านาน หาความสุขมิได้ แต่ในที่สุดก็สงสาร เพราะความจริงที่ว่านางวินตาก็คือแม่ของตน จึงลดคำสาปลง เอาแค่ให้รอไป  ๕๐๐ ปี ไข่อีกฟองจึงจะแตกออก และเขาจะเป็นผู้ช่วยแม่ออกจากทุกข์นี้เอง กล่าวจบ ก็ลอยขึ้นเวหาสไปเป็นสารภีให้พระอาทิตย์ พระอรุณผู้มีร่างกายใหญ่โต ขนาดมีเพียงครึ่งเดียว ก็สามารถบังแสงของพระอาทิตยได้ มวลเทวดาก็แสบตาต้องทูลร้องขอ จนท่านลดแสงเป็นสีส้มชมพูอ่อน ๆ (อรุณ หมายถึง  สีแดงดอกกุหลาบ ก่อนที่พระอาทิตย์จะโผ่ลขึ้นพ้นขอบฟ้าเราจะเห็นแสงสีเงินปรากฏก่อนแล้วจงมีแสงสีทอง . จึ่งเรียกแสงอาทิตย์แรกจับขอบฟ้าว่า...แสงอรุณ นั้นเอง ไปดูดินสีอรุณที่อิสานได้  (ส่วนเรื่องพระอาทิตย์นี่ก็โดนแม่ทิ้ง เศร้าเหมือนกัน)  (บางตำราว่า แสงอรุณ เป็นเทพสตรี ก็ไปอ่านต่อนะ เพราะกว่าพระสุริยาทิตย์ท่านจะทรงงานยามเช้าทุกๆวัน  มีทั้งพระอรุณ ม้าพระอาทิตย์ นางอัปสรออกมาก่อนเป็นทิว ทำให้เราเห็นแสงรำไร แสงอรุณ แสงเงินแสงทอง ก่อนจะเป็นดวงอทิตย์ไง)
และถึงคราวที่นางวินตาจะกลายเป็นไปตามคำสาปก็มาถึง นางไปพนันกับน้องสาวแพ้ เรื่องสีของขนม้าอุจไรศรพ (ม้านี้ออกมาจากการกวนอมฤต) ว่ามีสีอะไร นางวินตาจำได้ว่าเป็นสีขาวทั้งตัวม้า จึงตอบไปว่าสีขาว
ฝ่ายน้องสาวคิดทางต้องชนะ เพราะผู้แพ้จะต้องตกเป็นทาสของอีกฝ่าย นางจึงให้ลูกนาค แปลงกายไปเป็นเส้นขนหางม้าสีดำ บ้างก็ว่าพ่นพิษดำใส่หาง นางวินตาจึงแพ้ และตกเป็นทาสตามคำสาป
นางวินตาถูกใช้งาน แสนสาหัส หาความสุขมิได้ จนในที่สุด ไข่อีกฟองก็ครบอายุ และ แตกออก ปรากฏเป็นร่างนกยักษ์แสนสง่า ร่างกายมหึมา สว่างไสวกว่าแสงพระอาทิตย์ ๑๐๐ เท่า ออกมาปุ๊บก็กางปีกโผขึ้นสู่เวหา จนถึงทางโครจรแห่งสูรยาทิตย์ พร้อมรัศมีอันมหาศาลรุ่งโรจน ว่ากันว่าทำให้ทวยเทพแตกตื่นกันไปเข้าเฝ้าพระอัคนิเทพทราบว่า แสงนี้เป็นแสงรัศมีแห่งบุตรของพระฤษีกัศยปเทพบิดร
ทวยเทพทราบดังนั้นจึงมาขอร้อง ให้มหาวิหคโปรดลงรัศมีลง พญานกก็ยอมทำตาม เมื่อพญาเวนไตย ทราบถึงความเป็นอยู่ของพระมารดา ก็เศร้าใจ คิดหาทางช่วยจนวันหนึ่ง นางกัทรุอยากเดินทางไปยัง เกาะรามณียกะ ที่กลางสะดือทะเล โดยนางวินตาแบกนาง กัทรุและเวนไตยแบกนาคทั้ง ๑๐๐๐ ขึ้นบิน แล้วแกล้งไต่เพดานบินขึ้นฟ้าจนเข้าใกล้สายโคจรของพระเทวาอาทิตย์นาคทั้งหลายพากันสลบไปหมด
 นาง กัทรุแม่นาคทั้ง ๑๐๐๐  ก็สวดมนต์อ้อนวอนพระอินทร์ พระอินทร์จึงบัลดาลฝนตกห่าใหญ่ ทำให้นาคทั้งหลายชุ่มฉ่ำ ฟื้นขึ้นมานี่ พญาเวนไตย จึงผู้ใจเจ็บกับท้าววัชรินทร์เป็นต้นมา

ด้วยความกตัญญูต่อพระมารดา พญาเวนไตยจึงขออิสรภาพกับนางกัทรุโดยแลกกับหม้อน้ำอมฤตของพระอินทร์ (ไปอ่านจากกวนเกษียรสมุทร)  ซึ่งพญาเวนไตยต้องเดินทางไปเขาพระสุเมรุ พระนางวินตาได้แนะว่า ลูกต้องอาศัยเรี่ยวแรงมหาศาล จึงเดินทางไปถึงสวรรค์ ลูกจงกินเหล่านิษาท อันเป็นคนเถื่อนที่มีอยู่จำนวนมากมายในป่าเป็นอาหารเถิด

เวนไตยมีใจยินดี กราบอำลาพระมารดา นางวินตาจึงสอนลูกเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมให้พร ลูกรัก #ผู้มีอำนาจเรืองฤทธิ์เดชแต่อย่าได้ทะนงตน
ลูกต้องเคารพวรรณะพราหมณ์ อันเป็นวรรณะสูงสุด ต้องเคารพยำเกรง ให้เกียรติเหนือตน ตลอดเวลาถ้าเจ้าหลงกลืนพราหมณ์ จักมีอาการแสบร้อนทรมาน จงรีบคายเสีย
บัดนี้ลูกกตัญญูของแม่จักเดินทางออกไปเพื่อช่วยแม่ ขอให้ประสพความสำเร็จทุกประการ ขอพระวายุปกป้องปีกของลูก พระอาทิตย์ และพระจันทร์ปกป้องเบื้องล่างของลูก พระอัคนีปกป้องศีรษะของลูก และ เหล่าทวยเทพวสุปกป้องกายอื่น ๆ ของลูก เจ้าจงรีบไปเถิด แม่จะคอยอยู่ที่นี้
เมื่ออำลา และรับพรแล้ว พญาเวนไตยจึงออกเดินทางโดยระหว่างนั้นก็เสพเหล่านิษาทไปเป็นจำนวนมากและหนึ่งในนั้น ได้เผลอกลืนพราหมณ์ผู้มีภรรยาเป็นนิษาทลงไปเกิดอาการแสบร้อน ทรมาน จึ่งนึกถึงคำของแม่ รีบคายออกมาทั้งพราหมณ์ และภรรยา พร้อมกล่าวขออภัยอย่างนอบน้อมตามดำรัสพระมารดา

พราหมณ์เห็นความอ้อนน้อม และกตัญญูของพญาปักษา ก็เอ็นดูทันที ให้พรอันทำให้ประสบความสำเร็จในการทำงานสมปรารถนา
พญาเวนไตยแม้จักกินนิษาทมากแค่ไหนก็ไม่อิ่ม คิดหาเหยื่อใหม่โดยร่อนลงบนเขาเหมกูฏอันเป็นที่ตั้งของพระกัศยปพรหมฤษี  ผู้เป็นบิดาจึงแนะว่าให้ไปกินพญาเต่า และพญาช้าง ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นอสูรด้วยกันทั้งคู่ที่สู้รบไม่รู้แพ้ ชนะ จึงสาปกันและกันเป็นให้เป็นสัตว์เช่นนี้อยู่ที่ทะเลสาบใหญ่ทางทิศเหนือ เมื่อได้รับคำแนะจากบิดา เวนไตยก็รีบไปจับ ใช้ปากจับสัตว์ยักษ์ทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ และโผจับกิ่งไทรใหญ่ กิ่งหนึ่งหวังจะกินอาหารที่ได้มา แต่กิ่งนั้นทานน้ำหนักไม่ไหวจึงหักลง และที่กิ่งไม้นั้นเองมีเหล่าพราหมณ์แคระ พาลขิลยะ มีร่างกายเท่านิ้วมือ ห้อยหัวลงดิน บำเพ็ญเพียรอยู่จำนวนหลายหมื่นตน พญาวิหคจึงไม่กล้าทิ้งกิ่งไม้เกรงอันตรายเกิดแก่เหล่าพราหมณ์ แต่หาที่วางเหมาะ ๆ ไม่ได้ จึงต้องกลับมาหาพระบิดาอีก!!!  พระเทพบิดรก็ได้เล่าความทั้งหมดที่เกิดแก่เหล่าพราหมณ์แคระ ก็พากันสรรเสริญ และให้พร ว่า มหาปักษิน จากนี้ไปท่านจงมีนามว่า ครุฑ คือผู้รับภาระอันหนัก ไม่ว่าภาระใด ๆ ก็สำเร็จลุล่วงทุกครั้งไป มีพลังมหาศาลไม่มีวันพร่อง เป็นผู้สามารถตลอดกาล ใคร ๆ อย่าได้ต้านทานต่อสู้ได้เลย

พญาครุฑเอากิ่งไทรไปทิ้งทะเล และกินเหยื่อที่ริมหาดนั้นเอง แล้วก็รีบบินไปเทวโลกทันที
ณ วิมานไวชยันต์ อันเป็นที่เก็บหม้อน้ำอมฤต พระวิศวกรรมออกมาขวาง พร้อม เทพทั้งหลาย รวมทั้งพระอินทร์ก็ต้านทานไว้ไม่ได้ เมื่อเอาหม้ออมฤตออกมาได้ ก็โผสู่นภาแผ่ปีกบังแสงอาทิตย์เป็นสง่า จนพระวิษณุรู้ทางว่า ห้ามไม่ได้แน่ จึงบอกทักให้รู้ตัวด้วยการตรัสสรรเสริญ และมอบพรให้พญาครุฑ ซึ่งพญาเวนไตยก็ฉลาดใช่ย่อย น้อมเศียรคารวะ (ก็มาทลายด่านเค้าไปแล้วนี่) และขอพรแลกไป ๒ ข้อ คือได้น้ำไปล่ะ ต่อไปจะขอ(ยอม)เป็นพาหนะของพระองค์ชั่วชีวิต (ทำไม เพราะพระวิษณุ/พระนาราย์นั้นมีพญาอนันตนาคราชเป็นที่ประทับ ดังนั้นหากเมื่อยามจะไปไหนจะบินไปด้วยพญาครุฑ แล้ว ครุฑก็จะจับหลักรอเหนือพระเศียร ทำเป็นรอ ที่แท้ จะยืนเหยียบหัวพญานาคศัตรูเก่านั่นแหละ) และประการ ๒ คือ ขอให้มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่ต้องดื่มน้ำอมฤตเหมือนเทวาทั้งหลาย พระวิษณุก็จุกไปนิดแต่ก็มอบพรให้
ระหว่างทางกลับ พระอินทร์มีความเสียดายจึงตามมาแย่งคืนก็สู้แรงพญานกไม่ได้ แม้เขวี้ยง วัชระ เทพตราวุธประจำกายใส่สนั่นปานสวรรค์แตก ก็ไม่ได้ระคายเคืองพญาครุฑเลยเพราะได้รับพรไปแล้ว
พญาครุฑจึงเห็นว่าการต่อสู้ แม้ทำร้ายพระอินทร์ไปก็ไม่มีอะไรดี ทำอะไรกันไม่ได้ว่างั้น จึงยอมสละขน ๑ เส้น เพื่อแสดงความเคารพ แต่สำทับว่า ต่อไปภายหน้าจะไม่ให้โอกาสแล้ว (พระอินทร์เห็นตอนสะขน ว่า ขนสีทองสว่างรุ่งโรจนก็หลุดร่วงลง เปล่งประกายราวกับมีพระอาทิตย์อีกดวง ท่านก็เบรคล่ะ)

พระอินทร์จึงกล่าวถึงเหตุ และผลของการใช้น้ำอมฤต พญาครุฑตอบว่ายังไงเสียก็ต้องนำหม้อไปเพื่อช่วยมารดา เลยออกอุบายกล่าวเปรยลอยๆว่า หลังจากที่ข้านำหม้ออมฤตนี่ไปให้นาคแล้ว จงเป็นหน้าที่ของท่านต่อไปเถิด พระอินทร์พอรู้แกวจึงแอบตามพญาครุฑไปรอจน พญาเวนไตยนำน้ำอมฤตมาให้เหล่านาคาแล้วได้รับนางวินตาไป ก่อนนาคจะเข้ารับน้ำอมฤตพญาเวนไตยจอมเจ้าเล่ห์ก็ห้ามไว้ แนะให้ไปชำระกาย และสวดมนต์คายราตรีเสียก่อน จึงค่อยมาดื่ม เหล่านาคเชื่อ  พระอินทร์ก็ฉวยโอกาสนั้น นำหม้อกลับไปได้ รีบกลับเทวโลกทันที
 ขี้โกงอ่ะ
เหล่านาค นาคา ขึ้นมาก็รู้ว่าเสียท่า เหลือแค่ละอองอมฤตเกาะบนยอดหญ้าจึงหลงพากันเลียน้ำค้างธรรมดาบนยอดหญ้าคา คมพิษปาดลิ้นจึงทำให้เผ่าทั้งหลายมีลิ้น ๒ แฉกเป็นต้นมา
หลังจากพญาครุฑพาพระมารดาคืนสู่ตำหนักพระกัศยปเทพบิดร แล้วกลับมาปฏิบัติการจองเวร ไล่จับนาคกินมันเปลว ฉีกคร่าอย่างสำราญใจ แม้นาคทั้งหลายจะหนีไปอยู่สะดือทะเล พญาครุฑก็กระพือปีกแหวกน้ำออกจับนาคขึ้นมาได้อีก พญาวาสุกิเห็นไม่ดีจึงทำสัญญาต่อพญาครุฑว่าจะทำพิธีสังเวยนาคแก่พญาครุฑวันละตัว ณ ลานหินริมฝั่งทะเล เป็นการทำ MOU ว่า ไม่มีพื้นที่ใดอื่นให้จับฉีกเล่นอีก แต่ครุฑก็คือครุฑ
#หากมีเกร็ดกล่าวว่า ในสนธิสัญญานั้น มีพื้นที่บางจุดที่นาคและครุฑสัญจรผ่านกันได้ เป็นเขตปลอดอาหาร หากนอกเหนือเขตนี้ เทวดาครุฑก็ไม่สน ถ้านาคใดโผล่ขึ้นมาล่ะก็ครุฑสอยไปกินไม่รู้ด้วย ซึ่งบางพื้นที่มันก็เป็นแบบนั้น ยิ่งนาคน้อยแสนซนชอบขึ้นมาดูมนุษย์จะโดนกันบ่อย ทำให้คดีพี่น้องครุฑนาคและบริวารตีกันไม่มีทางจบสิ้น
ต่อมาทางนาคก็แก้ทาง การถูกโฉบขึ้นไปสูบเปลวมัน(ครุฑจะกินมันเปลวนาค ส่วนที่ร่างแหลกกันเนี่ย ครุฑเขาเอาสนุกฉีกเล่นบ้าง เขวี้ยงลงมาบ้าง) นาคก็แก้ทางโดยกลืนกินก้อนหินทุกวันทำให้ตัวหนัก เมื่อพวกครุฑมาจับที่หัวลากไป จึงถ่วงพวกครุฑจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก (พวกครุฑมันโง่จึงจับที่หัว ถ้ามันจับหางนาคหินก็จะไหลออกจากปากสามารถนำพวกนาคเราไปฆ่าได้)
ฝั่งครุฑนั้นเมื่อพวกตัวเองตายหนักเข้า จะไปฟ้องเทพก็ไม่ได้ เพราะฉีกสนธิสัญญาปรองดองเอง เลยแอบไปถามฤๅษีทุศีล(ที่แอบมาถามนาคไว้แล้ว)  เมื่อพญาครุฑทราบจากผู้ทุศีล ก็ปรี่เข้าไปจับขนดหางพญานาคโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไป พญานาคเมื่อทราบความลับถูกเปิดเผลแล้ว จึงคร่ำครวญว่า ภัยเกิดจากตัวเองแท้ๆ ที่พูดพล่อยไม่ปิดบัง บอกความลับแก่ใคร จึงได้บอกออกไปน่าเจ็บใจจริง ๆ
#สัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีในโลก #ขึ้นชื่อว่าความลับไม่ควรบอกใครไม่ว่าจะเป็นบิดามารดาพี่น้องแม้กระทั่งภรรยาและบุตรธิดา
แล้วครุฑได้กล่าวเป็นคาถาว่า  #บัณฑิตไม่พึงเปิดเผยความลับพึงรักษาความลับนั้นไว้เหมือนรักษาขุมทรัพย์ เพราะว่าความลับบุคคลรู้อยู่ไม่เปิดเผยได้เป็นการดีบัณฑิตไม่ควรบอกความลับแก่สตรีศัตรูคนที่ใช้อามิสล่อ และคนผู้ล้วงความลับ

นาครู้ตัวว่าจะตาย ก็กระอักโลหิตตกลงมายังแผ่นดินกลายเป็นมรกตชนิดหนึ่ง เลือดของนาคที่หยอดลงพื้นกลายเป็นมรกตนาคสวาท น้ำลายครั้งสุดท้าย พระยานาคอันตกลง เป็นครุฑธิการตามชายหาดนั้นเอง

มีต่อ




นาค นาคี นาคา นาคราช พญานาค วงวารสงคราม



ทางฮินดู นับนาค 3 ตนเท่านั้น  ที่ได้ชื่อว่า #นาคราช ได้แก่ เศษะ วาสุกี และ ตักษกะ ทั้งหมดเป็นบุตรของพระฤๅษีกัศยปะกับนางกัทรุ
นอกนั้นไม่อาจจะเรียกว่านาคราชได้ เป็นเพียงนาคเฉยๆ ส่วนหนังอินเดียที่ฉายเป็นชื่องูใหญ่ สังเกตง่ายๆคือไม่มีหงอนไม่มีเชื้อสาย เป็นนางงูใหญ่เท่านั้นเอง กลับมาที่นาคราชที่เป็นหลัก อันได้แก่
เศษะ หรือ อนันตนาคราช เป็นบุตรตนโต โอรสของพระกัศยปเทพบิดรกับนางกัทรุผู้อุทิศตนรับใช้พระวิษณุ เป็นพระแท่นบรรทมของพระองค์เมื่อทรงบำเพ็ญโยคนิทรา ซึ่งรู้จักในชื่อนารายณ์บรรทมสินธุ์
คำว่า เศษะ หมายถึง ผู้ไม่มีที่สิ้นสุด หรือนาคราชผู้ไม่มีที่สิ้นสุด เกินประมาณ ด้วยพลังและขนาดองค์ที่เกินประมาณ เศียร ยามทรงอิทธิเต็มพละนั้นมากถึง1,000เ เศียร เชื่อว่า  เศษนาคทำหน้าที่เป็นผู้แบก14ภพของจักรวาลเอาไว้ทั้งบนเศียร1,000 และเป็นบัลลังก์ ของ พระวิษณุวิษณุนารายณ์ปรมนาท ยามที่พระองค์ทรงบรรทมเหนือกเษียรสมุทร
วาสุกี หรือ วาสุกรี เป็นบุตรคนรองผู้รับใช้พระศิวะ ให้ทรงใช้เป็นสังวาลย์ห้อยพระศอ และเสียสละร่างกายเป็นเชือกกวนเกษียรสมุทรแก่เหล่าเทพและอสูร
ตักษกะ เป็นศัตรูของพระอรชุน ต่อมาพ่ายแพ้จึงถูกเนรเทศไปอยู่ตักศิลา ไม่ค่อยมีบทบาทเกี่ยวกับเทพเท่าไหร่นัก
นาคตระกูลธรรมดาจะมีเศียรเดียว แต่ตระกูลที่สูงขึ้นไปนั้น-นาคราช จึงมีสามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียรและเก้าเศียร  นาคมีกำเนิดตามบุญบารมี ซึ่งเหล่าสืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (อนันตนาคราช)  นาคราช และนาค นั้น กำเนิดตามเผ่าพันธุ์และบุญ เกิดอย่างโอปาติกะ เกิดจากครรภ์และจากไข่ รวมทั้งมูทไคล(สังเสทชะ)  ทั้งเกิดในน้ำและบนบก มีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้เกิดคุณและโทษได้ เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ นิยมความสวยงาม ยามแปลงร่างเป็นมนุษย์จึงมีรูปร่างสวยงาม
     นาคกับงูใหญ่ ต่างกันคนละระดับ หากจะดูว่าเป็นงูใหญ่ก็จะมีหงอน ต่างจากงูทั่วไปที่ถือเป็นบริวาร ซึ่งส่ำสัตว์นี้จึงเป็นอีกชั้นโดยสิ้นเชิง ทีนี้เวลาดูทีวีดูหนังก็แยกได้ง่ายขึ้นล่ะ
  พอไปค้นดู ขันธะปริตตะคาถา พระไตรปิฎก แสดงไว้ว่า พญานาคนั้น มี 4 ตระกูล คือ
1. วิรูปักษ์ (ตระกูลสีทอง)
2. เอราปถ (ตระกูลสีเขียว
3. ฉัพพยาปุตตะ (ตระกูลสีรุ้ง)
4. กัณหาโคตรมะ (ตระกูลสีดำ)

   4 ตระกูลนี้ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ และได้กระจัดกระจายขยายเผ่าพันธุ์ออกเป็น 2 สาย คือ นาคบก อาศัยในป่าหิมพานต์ เรียกว่า ถลชะ และพวกที่อาศัยในมหาสมุทร (น้ำ) เรียกว่า ชลชะ
นาคกำเนิดเป็นไปตามบุพกรรมและบุญ มี 4 แบบ คือ ผุดเกิด เกิดจากน้ำเน่า เกิดจากครรภ์ และเกิดจากไข่
1.โอปปาติกะพญานาค   เป็นนาคพวกกายทิพย์ผุดเกิดจากบุญบารมี
2.ชลาพุชะพญานาค   เป็นนาคพันธุ์เกิดในครรภ์
3.อันฑชะพญานาค   เป็นนาคพันธุ์เกิดในไข่
4.สังเสทชะพญานาค   เป็นนาคพันธุ์เกิดจากเหงื่อไคล

แบ่งตามลักษณะการทำอันตราย 4 รูปแบบ ได้แก่
1.ทัฏฐะวิสาพญานาค   เมื่อขบกัดแล้วจะเกิดพิษซ่านไปทั่วร่างกาย
2.ทิฏฐะวิสะพญานาค   ใช้วิธีมองแล้วพ่นพิษออกทางตา
3.ผุฏฐะวิสะพญานาค   ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษแผ่ซ่าน
4.วาตาวิสะพญานาค   มีพิษที่กาย จะแผ่พิษจากตัว

แบ่งตามความรุนแรงของพิษ 4 คือ
1.อาตตะวิสนะโฆระวิสะ   มีพิษแผ่ซ่านออกไปอย่างรวดเร็วแต่ไม่รุนแรง
2.โฆระวิสนะอาคตะวิสะ   มีพิษรุนแรงมาก โดยพิษนั้นแผ่ซ่านออกไปช้าๆ
3.อาคตวิสนะโฆระวิสะ    มีพิษแผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก       
4.นะอาควิสนะโฆระวิสะ มีพิษแผ่ช้าๆและไม่รุนแรง
ถ้าเขียนผิดขอภัย อย่างไรก็ดี ความรุนแรงก็ขึ้นกับประสงค์ของการปล่อยพิษ และระดับของนาคหรือพญานาคตนนั้นๆ
ตระกูลพญานาค
พญานาคตระกูลสีทอง
เป็นพญานาคในตระกูลสูงสุด เป็นการกำเนิดพร้อมบุญบารมี มีอำนาจเรียกว่าแต้มบุญสูง มีจิตเต็มพลัง จึงเป็นผู้ดูแลพญานาค นาคชั้นรองๆลงมาได้  มีกำเนิดแบบโอปปาติกะ คือเกิดแล้วโตทันที
พญานาคในตระกูลนี้จะอาศัยอยู่ในสวรรค์ชั้น จาตุมหาราชิกา (สวรรค์ระดับนี้จะเป็นพื้นที่บุญสัมฤทธิ์ขั้นต้นๆ โดยมีเทวดาเป็นใหญ่ ๔ องค์ มี
 ๑) ท้าวธตะรฐะ เป็นเทพผู้เป็นใหญ่ทางทิศตะวันออก บางครั้งจะมีชื่อว่า อินทะซึ่งเป็นเทพที่ปกครองคนธรรพ์เทวดา
๒) ท้าววิรุฬหกะ ซึ่งบางครั้งมีชื่อว่า ยมะเป็นผู้ปกครองเทพทางทิศใต้ ปกครอง เทพชั้นกุมภัณฑ์
๓) ท้าววิรูปักขะ บางครั้งมีชื่อว่า ท้าววรุณเป็นผู้ปกครองเทพทางทิศตะวันตก เทพชั้นนาค
๔) ทางทิศเหนือ มี ท้าวกุเวร ซึ่งบางครั้งชื่อว่า เวสสุวัณ เป็นผู้ปกครองเทวดาชั้นยักษ์
เทพชั้นนี้ยังมีผัสสะ ผลบุญสำแดงเป็นรูปลักษณ์และรัศมีไม่มากมาย
พวกพญานาคอยู่ในการปกครองของท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก (เหตุที่มาเกิดเป็นพญานาคเพราะทำบุญเจือด้วยราคะ )
พญานาคในตระกูลสีทอง เป็นเพียงตระกูลเดียวพญาครุฑไม่สามารถทำร้ายได้เด็ดขาด  ส่วนตระกูลอื่นขึ้นกับบารมีที่เข้าสมาบัติ ลักษณะ ลำตัวสีรุจน์อุไรวรรณจันทราภา มีเกล็ดทองคำบุศรินทร์ หรือสีทองมหิธาสุวรรณชาด เชื่อว่าเป็นพญานาคที่มีอิทธิฤทธิ์และพลังอำนาจมากที่สุด สามารถทำร้ายคู่ต่อสู้ได้แม้แค่ใช้สายตา พญานาคตนใดกำเนิดมาจากวงศ์ตระกูลนี้ ให้ถือว่าเป็นผู้ที่มากด้วยบุญญาบารมี

ต่อมา ตระกูลสีเขียว เป็นชนชั้นรองลงมา ปกครองปตาล หรือบาดาลที่เรารู้จักกัน
เชื่อว่าอาศัยอยู่ในเมืองนี้อยู่ ลึกลงไปจากใต้ดินถึง 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร บางพวกอาศัยอยู่ในถ้ำ ลึกถึง 50 โยชน์ หรือ 800 กิโลเมตร เชื่อว่าเป็นพญานาคตระกูลที่พบได้มากที่สุด มีลำตัวเขียวมรกตจงกลนี เกล็ดมรกตสีไพลมณีรัตนชาติ มักขึ้นมาบนโลกมนุษย์บ่อยครั้ง จึงทำให้เกิดตำนานรักมากมายระหว่างพญานาคตระกูลนี้ เป็นพญานาคในชั้นบารมีรองลงมา ก็รับหน้าที่ปกครองในระดับรองลงมา
ตระกูลสีรุ้ง เป็นวรรณะในระดับที่ 3
บางตำราว่า มีกำเนิดจากไข่ เรื่องนี้อยู่ที่บุญเก่ากับเชื้อสายมากกว่า สีรุ้งที่ว่าบางตำราเรียกว่าหลากสี นาคตระกูลนี้ส่วนใหญ่จะมีกายสีเลื่อมรุ้งมรุลี สีโกเมนสุริยฉัตรปภัศร เป็นตระกูลที่พบได้น้อย

ตระกูลสีดำ กัณหาโคตมะ พญานาคในตระกูลนี้ส่วนใหญ่จะนอนหลับเป็นระยะเวลานาน มีกายเป็นนิลกาฬมหิธร มีเกล็ดเป็นนิลปาศรอมรสุภรัตน์ พญานาคในตระกูลนี้ส่วนใหญ่จะเป็นบริวารของพญานาคในตระกูลอื่น อาจจะจะเน้นทำบารมีเพิ่ม ไม่ค่อยออกมาเสี่ยงกับการบริหารวงวารที่ทำให้อารมร์เสียบ่อยๆก็ได้  พญากาฬนาคราช เป็นผู้นอนรอรับถาดทองคำ ที่องค์พระโพธิสัตว์ทรงอธิษฐานก่อนบรรลุธรรมเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นไม่ธรรมดานะนั่น
             
               นาคราชที่มีหน้าที่แต่ละด้านจะสามารถขึ้นไปสวรรค์ชั้นอื่นได้เมื่อมีคำสั่งลงมา ซึ่งก็อาจเข้าไปไม่ถึง สุธรรมาเทวสภา หรือก็ตามแต่หน้าที่ เรียกทำงานอีกเหมือนกัน

แต่ ที่ #เผ่าพันธุ์มนุษย์สร้างขึ้นมาเป็น 9 ตระกูล น่าจะมากเกินไป ตอนเขียนกันไปกว่า 70 ชื่อ ที่คุ้นกัน 9 ชื่อ ซึ่งถูกนำมาสร้างเรื่องใช้หากินซะมาก ได้แก่  ๑.อนันตนาคราช ๒.มุจรินทร์นาคราช
๓.ภุชงค์นาคราช ๔.ศีรสุทโธนาคราช
๕.ศรีสัตตนาคราช ๖ เพชรภัทร นาคราช หรือเกล็ดแก้วนาคราช
๗.นาคดำแสนสิริจันทรานาคราช ๘. ยัสมัญนาคราช
๙.ครรตะศรีเทวานาคราช
เห็นมั๊ยว่า นอกจาก ๒ องค์แรกแล้ว เป็นชื่อที่พบในพิธีมากกว่า ขนาด พญาวาสุกิท่านยังไม่ติดโผเลย แต่ก็ดีแล้วล่ะ ว่าไปก็แปลกนะ   เอาเป็นว่าวันนี้ มีการสร้างเรื่องจากตำนานริมแม่น้ำโขงมากมาย จนลืมไปว่านาค พญานาค เป็นผู้ไปทางน้ำทุกที่ทุกแห่งหนจะน้ำตก น้ำจืด น้ำทะเล มหาสมุทร

เมื่อนาคราชกำเนิดด้วยเชื้อบารมี ระดับพญานาคนั้น มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ด้วยผลบุญเก่าที่เคยสร้างไว้ จึงนำพาให้มาเกิดในภพภูมิพญานาค เมื่อเกิดมาแล้วก็หมั่นสร้างบุญกุศลด้วยการต่อยอดบุญเดิมของตนเองจากการปฏิบัติธรรม ซึ่งจะช่วยยกระดับสภาวจิตตนเองให้สูงเพื่อการหลุดพ้น จึงไม่น่าจะปรารถนาเครื่องบัดพลีบวงสรวงใดๆ เนื่องด้วยบำเพ็ญบุญบารมีมามาก สภาวะจิตย่อมเหนือกิเลสต่ำๆ SO ของบูชาในเชิงวัตถุจึงปะเหมาะกับเทวดา นางไม้ เจ้าที่ ซึ่งเป็นเทวดาที่ยังหมกมุ่นในกิเลสมากกว่า
ดังนั้น ระดับนาคราชย่อมไม่เป็นของเล่นให้ มนุษย์ขี้เหม็นแน่นนอน ก็เช่นเดียวกับเทพระดับสูงทั้งหลาย  ดังนั้น ที่โลกเขละๆนี้พบเห็นจึงน่าจะเป็น นาคชั้นล่าง ภูติ เปรต อสุรกาย (ถ้าอยากจะเชื่อนะ)

พญานาคจะสามารถแปลงกายเป็นอะไรก็ได้ โดยมี 5 สภาวะ ที่นาคจะต้องปรากฏร่างแท้จริงออกมาเช่นเดิม คือ
   1. ขณะเกิดเป็นนาค
   2. ขณะลอกคราบ
   3. ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค
   4. ขณะนอนหลับโดยไม่ได้สติ
   5. เมื่อสิ้นใจ ถึงก่อนสิ้นใจจะจำแลงเป็นภาวะอื่น ก็จะกลับเป็นนาคตามเดิม

ตำนานครุฑกับนาค 1
พญาครุฑและพญานาคราช เอ่ยแบบนี้เป็นอันรู้กันว่า ระดับไม่ใช่นิ๊งหน่อง ที่เสพของบัดพลี ข้างบ้านแน่นอน
เริ่มจากต้นตระกูลฝั่งบิดา คือ  พระกศยปเทพบิดรนั้น ท่านเป็นหนึ่งในเจ็ดมหาฤาษีของโลก ที่เรียกว่าสปตะฤาษี ฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 7 ตน ซึ่งได้รับเกียรติและการเคารพสูงสุดจากพระผู้เป็นเจ้าในฐานะคุรุและมหามุนี ในคัมภีร์ศตปถพราหมณะ ระบุชื่อว่า 1.โคตม 2.ภัทรวาช 3.วิศวามิตร 4.ชมทัศนี 5.วศิษฐ์ 6.กัศยป และ 7.อัตริ
 พระกศยปเทพบิดร นอกจากจะเป็นสปตะฤาษีท่านยังรั้งตำแหน่งเป็นพระมหาประชาบดีที่ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดมวลมนุษย์เเละเทพเทวะทั้งปวงตลอดจนสร้างกลไกสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ในบางตำราก็ว่า เป็นพระบิดาของพระนารายณ์   ในวิษณุปุราณะก็กล่าวว่า เป็นบิดาของมหาฤๅษีนารทมุนี (องค์นี้ก็เรื่องยาว) ซึ่งพระฤๅษีกัศยปเทพบิดรองค์นี้ยิ่งใหญ่ในตบะฌาณทรงศักดิ์และทรงสิทธิ์เหนือมวลเทพเจ้าทั้งปวง
พระกศยปะ มีอัครมเหสีชื่อ พระอทิติ และมีมเหสีฝ่ายซ้าย (องค์รอง) คือ นางทิติ แล้วก็มีชายาอีก  13 องค์
กศยปเทพบิดร มีโอรสที่เราได้ยินพระนามบ่อยๆอยู่มาก เช่น กลุ่ม*อาทิตย์ทั้ง 8 คือ สุริยาทิตย์, วรุณาทิตย์, มิตราทิตย์, อริยมนาทิตย์, ภคาทิตย์, องศาทิตย์, อินทราทิตย์ และธาตราทิตย์ โดยเป็นโอรสที่เกิดกับนางอทิติอัครมเหสี พูดง่ายๆ คือพระมหาฤาษีองค์นี้ เป็นพ่อของพระอินทร์ พระอาทิตย์ พระวรุณ พระยม เป็นต้น กล่าวง่ายๆ คือลูกของท่านล้วนกุมกลไกต่างๆ ในมหาจักรวาลไว้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ลูกกัศยป องค์อื่นๆ ยังมีอีก เช่น
มารุต (ลมหรือพระพาย) และแทตย์ เกิดกับนางทิติ พระมารุตหรือพระพายที่เป็นบิดาของหนุมานก็เป็นบุตรของพระองค์
พญานาค กับ พระอรุณ เกิดกับนางกัทรุ พญานาคที่เกิดเป็นโอรสนี้ก็รวมไปถึงองค์อนันตนาคราช บรรพบุรุษแห่งสายนาคพันธุ์ทั้งปวง
ทานพ เกิดกับนางทนุ
ปีศาจ เกิดกับนางโกรธศา
อสุรินทรราหูผู้เป็นใหญ่แห่งอสุรกายภูมิผู้ได้รับขนานนามว่า เป็นบิดาแห่งมาร ก็เป็นบุตรที่เกิดจากพระกัศยปะเทพบิดรกับนางสิงหิกาด้วย
ส่วน ครุฑบุตรของพระกศยปะเทพบิดรที่เกิดกับ นางวินตา เป็นจอมครุฑพญาสุเรนทรชิตที่เป็นพาหนะของพระนารายณ์ เป็นครุฑที่ชนะพระอินทร์มีอานุภาพเสมอด้วยพระนารายณ์ เรียกขานกันว่า พญาเวนไตย!!!
**ตามตำนานอุปาติกะกล่าวว่ามีรูปครึ่งนก ครึ่งมนุษย์ กึ่งเทวดา  มีลักษณะ
       หัว ,  ปีก ,เล็บ  เหมือนนกอินทรีย์
       ตัวและแขนขาเหมือนคน
       หน้าขาว  ปีกแดง ตัวเป็นสีทอง
 พญาครุฑมีชายาชื่อนางอุนนติหรือนางวินายกา  และมีบุตรชื่อ สัมปาติ ซึ่งได้เป็นผู้ชี้ทางให้หนุมานไปลงกา  แต่ในรามเกียรติ์เรียกสัมพาที นิสัยสุขุม กล้าหาญและเสียสละรักน้องมาก ได้ชื่อว่าเป็นนกแห่งความเสียสละ อันเกิดจากครั้งหนึ่งเจ้าน้องตัวแสบ-สดายุเห็นพระอาทิตย์ตอนเช้าตรู่สีแดงสดใสคิดว่าเป็นผลไม้สุกจึงโผไปจะจิกกิน ทำให้พระอาทิตย์กำลังทำงานจะออกแสงให้โลกจึงโกรธมาก จึงเปล่งแสงที่ร้อนแรงออก ถ้าโดนสดายุไหม้เป็นจุณแน่!! สัมพาทีจึงบินไปกางปีกบังแสงอาทิตย์ไม่ให้เผาน้องชาย จนขนนกสัมพาทีไหม้หมด สัมพาทีองก็ใช่ว่าจะองค์เล็ก โผไปขัดพระสุริยาทิตย์ท่าน เข้าท่านก็กริ้วซ้ำอีก และพระอินทร์ยังได้สาปนกสัมพาทีให้อยู่แต่ในถ้ำที่เขาเหมติรัน ส่วนน้องตัวแสบกายสีเขียวชื่อสดายุ ออกแนวขี้โมโห ก็คงเป็นตามชาติกำเนิด  เป็นเพื่อนกับท้าวทศรถผู้เป็นพระบิดาของพระราม ไปออกเเรงจนตัวม่อยกระรอกในบทรามเกียรติ
   ในอมรโกศ,ป.รถมมกาณ.ฑ  กล่าวชื่อพญาครุฑไว้มาก  เช่น ครุตมัต(สัตว์มีปีก) ครุฑ  (ชื่อครุฑ คือผู้รับภาระอันหนัก ไม่ว่าภาระใด ๆ ก็สำเร็จลุล่วงทุกครั้งไป มีพลังมหาศาลไม่มีวันพร่อง  ได้มาจากตอนไปขอน้ำอมฤต แล้วได้พรจากฤาษี (ดูตำนานครุฑ)
อีกชื่อที่ไพเราะ คือ   กาศยปิ  และเวนไตย(เหล่ากอกัศยปและนางวิตา ) คคเนศวร (เจ้าแห่งอากาศ); ขเคศวร(ผู้เป็นใหญ่แห่งนก); นาคนาศนะ (ศัตรูแห่งนาค)  วิษณุรถ (ยานของพระนารายณ์)  สุบรรณ ( ผู้มีวรรณะเป็นสีทอง ) สุเรนทรชิต ( ผู้ชนะพระอินทร์ )และยังมีชื่ออื่นๆอีกเป็นอันมาก  โดยสมมุติขึ้น จากฤทธิ์ จากเดชเหตุการณ์ หรือความเป็นอยู่แห่งพญาครุฑ-ครุฑตนนั้นๆ กาศยป/ไวนเตยะ/สุวรรณกาย/ปันนคนาสน์/ขเดศวร/สุบรรณ /วิษณุรถ/.นาคานดก/ขนบคาศน์

   กลับมาพูดถึงองค์พ่อดีกว่า           พญาครุฑเวนไตยนี้  เมื่อเกิดมามีรัศมีช่วงโชติจนพวกเทวดาหลงเข้าใจผิดว่าเป็นพระอัคนี  พญาครุฑมีมหิทธิฤทธิ์มาก จากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งนับได้ 150 โยชน์ เวลากระพือปีกครั้งหนึ่งข้ามถึงไกรลาส และสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่ เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นไปได้ ที่อยู่ของครุฑเรียกว่า สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ความไม่ยอมหย่อนแต้มให้ใครแม้แต่พระวิษณุ  ปรากฏเรื่องตอนที่พญาครุฑลอบเข้าไปลักน้ำอมฤต และนำไปถ่ายความเป็นไทแห่งพระมารดา ที่ต้องตกไปเป็นทาสพระมารดาพญานาค  พอพระวิษณุจับได้  ( บางตำราว่าพระอินทร์เป็นผู้เห็น ได้รบกับพญาครุฑแต่พระอินทร์ไม่ชนะขาด  พญาครุฑจึงมีนามว่าสุเรนทรชิต ) รบกันเท่าใดก็ไม่แพ้ชนะกัน  จึงตกลงยอมเป็นมิตรไมตรีต่อกัน โดยมีข้อสัญญาว่าในเวลานั่งปกติพญาครุฑจะนั่งสูงกว่าคือไปจับเยื้องเหนือพระเศียรซะงั้น  และพญาครุฑจะต้องเป็น พาหนะ  ให้พระวิษณุทรง อานุภาพของครุฑจึงเป็นที่อัศจรรย์ของทั่วโลกธาตุ นอกจากนี้ยังมีประวัติอีกว่าพระอินทร์เองก็เคยลองฤทธิ์กับพญาครุฑใช้วัชระฟาด แต่พญาครุฑ หาได้เป็นอันตรายแต่อย่างใด จนพระอินทร์มียอมรับอานุภาพของพญาครุฑในที่สุดพญาครุฑจึงได้สลัดขนตนเองออกมาหนึ่งเส้นถวายแก่พระ อินทร์เพื่อเป็นเกียรติแก่พระอินทร์ด้วยเช่นกัน

ความหมาย เวนไตย อ่านว่า เว นะ ไต แปลว่า ลูกของนางวินตา หมายความว่า ครุฑ ด้วย เป็นพญาวิหค เจ้าแห่งนกทั้งปวงด้วย
--------------------------------**************--------------------------------
มีต่อ......



๒๓ มิถุนายน ครบวัฎฎะ

ดาวดารดาษดุจมณิเต็มผืนกำมะหยี่เหนือโพยมสีหมึก สีตลรัศมีที่ฉายเรื่อยอ่อนแสงหายไปหลังเมฆินทร์ เบื้องล่างสายนทีลัดเลาะแผ่นหิน ทุกโค้งคุ้งส...