วันนี้นัดตรวจเลือด ด้วยความที่ไม่เคยเข้าโรงพยาบาล และคอนเฟิร์มกับแผนกเจาะเลือดว่ามาเจาะวันนี้ได้ เลยตะลีตะลานออกจากบ้านมาก่อนหกโมงเช้า มาถึงก็เจาะไม่ได้ T_Tต้องมาสัปดาห์หน้ามีความ งง เบาๆก่อนหน้านี้ก็ถามแล้วนี่นา พยาบาลมาทำหน้า wooden smile ใส่ ตูทำไม(วะ) คะแผนกเจาะเลือดก็ไม่บอกว่าต้องเจาะวันก่อนกี่วัน นะคะ หุหุจากความดันต่ำเลยขึ้นมาปกติ ๕๕๕ ฮึ่มมองโลกแง่ดี มันทำให้ความดัน ๙๐/๕๕ ขึ้นมา๑๐๐ กว่าได้ หุหุวันนี้เลยป่วยจริงๆเพราะนอนน้อยตื่นเช้าสองชั่วโมงเมื่อคืนกำลังตีกลับมาที่่ร่างกายและสมองอันนี้ช่วยไม่ได้นะ คนเราห้ามความชราไม่ได้นั่งมึนๆไปแล้วก็เฮ้ออออชาติ,ชรา,มรณะ,โสกะ,ปริเทวะ,ทุกขะ,โทมนัส,อุปายาส ครบเลยกรู๊!!วิภาค โดยไม่วิพากษ์ครบจบในห้านาที แล้วเอามาพิมพ์สรุปแบ่งปันกัน
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561
นัดตรวจเลือด #คนไม่เคยป่วย แต่ทำให้เห็นอะไรจากการอดตรวจ
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2561
คิดถึง lord of the ring , Treebeard ความลึกที่ซ่อนในภาพและอารมณ์
มิดเดิลเอิธเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เรียกว่าอาร์ดา(โลก) บางตำราก็บอกว่าอาร์ดาเป็นระบบดาว
โดยทางเหนือของมิดเดิลเอิธคืออังมาร์ของราชาภูต
ส่วนทางใต้คือทะเลทรายฮารัดของพวกฮาราดริม คนแต่งเขาว่าเขียนให้ตัวละครโลกแล่นในพื้นที่ทิศตะวันตกของทวีปมิดเดิ้ลเอิร์ธ
เหลือทิศเหนือ-ใต้-ตะวันออก ที่กล่าวถึงไว้นิดหน่อย ส่วนทวีปอามาน(รวมเกาะเอเรสเซอา) อีกที่หนึ่ง ซึ่งแต่เดิมอยู่ทางตะวันตกของทะเลใหญ่ เป็นดินแดนของเทพกับเอลฟ์ แต่ต่อมาก็ถูกย้ายไปนอกโลก -อาร์ดา
เจ. อาร์. อาร์. โทลคีนมีชีวิตในราวสมัยรัชกาลที่ 5 ของไทย ผู้ทำหน้าที่สร้างสรรค์แต่งแต้ม เล่าขานเรื่องราวที่ช่วยเสริมสร้างจินตนาการได้อย่างกว้างไกลแก่ผู้อ่าน และทำหน้าที่ผ่านตัวอักษรเป็นช่วงเวลายาวนาน
อย่างน้อยก็ถือเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ช่วยให้ ผู้คน(โดยเฉพาะคนไทย) ได้หันมาอ่านหนังสือกันมากขึ้น
แม้จากการสำรวจล่าสุดประเทศไทยจะมีสถิติการอ่านหนังสือเพียง 3 นาทีต่อวันก็ตาม ซึ่งถือว่าน้อยมาก
แต่ถึงอย่างไรหนังสือเล่มนี้ก็ยังสามารถช่วยกระตุ้นอาการความอยากรู้อยากเห็นให้ผู้ได้รับชมภาพยนตร์แล้ว และผู้ที่ยังไม่ได้รับชมทั้งหลาย ได้เริ่มเห็นความสำคัญของการอ่านได้บ้างไ
อาจสรุปได้ว่า ภาพยนตร์ The Lord of the Rings ได้สร้างกระแสและปรากฏการณ์ต่างๆได้เป็นอย่างมาก ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ต้นฉบับที่เป็นหนังสือนวนิยายได้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น ถึงผู้แต่งจะเสียชีวิตไปแล้วก็ยังได้ฝากผลงานให้ชาวโลกได้ประจักษ์ถึงจินตนาการที่สุดบันเจิดเหนือกาลเวลาของมนุษย์เมื่อกว่าร้อยปีที่ได้เป็นอย่างดี
ส่วนที่สำคัญที่ภาพยนตร์ได้แทรกคุณค่า คือการตรึกของเหล่าภูตไม้ธรรมชาติ ที่สุขุมเเม้จะเชื่องช้า หากเมื่อเขาโต้ตอบก็หนักหน่วงรุนแรง ทันทีที่เห็น ใจเราเห็นโลกปัจจุบันที่ถูกธรรมชาติโต้ตอบดุจเดียวกัน
มันคือความทุกข์หนักหน่วง ที่ธรรมชาติถูกรุกรานและทำลาย อย่างโหดเหี้ยมและแม้เราจะเป็นผู้ถูกโต้ตอบคืน เราก็ร้องไห้ให้แก่ภูตไม้เหล่านั้น
เรากำลังพูดถึง Treebeard เป็นตัวละครในจินตนิยายเรื่อง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์
ทรีเบียร์ด เป็นตัวละครเผ่าเอนท์หรือพวกต้นไม้ใหญ่ที่รูปร่างเหมือนคน เอนท์เป็นผู้คุ้มครองป่าแห่งความมืดนามว่า ป่าฟังกอร์น ซึ่งอยู่ระหว่างเมืองไอเซนการ์ดและลอธลอริเอน ครั้งหนึ่งเคยครอบคลุมพื้นที่หลายพันไมล์ทั่วมิดเดิลเอิร์ธ แผ่ขยายไปถึงไชร์ต่อมาต้นไม้ถูกโค่นและเผาไปจำนวนมาก จนเหลือพื้นที่เพียงเล็กน้อยบริเวณทางใต้ของ เทือกเขามิสตี้เท่านั้นอยู่ตลอดมา
พวกเอนท์ใจเย็น แม้เมอร์รี่และปิ๊บปิ้นพยายามชักจูงให้ทรีเบียร์ดเข้าร่วมสงครามแย่งชิงแหวน แต่เหล่าเอนท์ก็มิได้สนใจแต่อย่างใด จนกระทั่งทรีเบียร์ดรู้ว่าซารูมานหักหลังพวกเขา โดยจะตัดต้นไม้ทั้งหมดในป่าทิ้ง (คุ้นๆไหม)
ทำให้เหล่าเอนท์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดสร้างกองทัพและลุกฮือขึ้นด้วยความโกรธแค้น พวกเขาช่วยกันรวมพลเอนท์ครั้งสุดท้าย เหล่าเอนท์ซึ่งนำโดยทรีเบียร์ด เข้ายึดหอคอยออร์ธังค์ของพ่อมดขาวซารูมานในไอเซนการ์ด
ทรีเบียร์ดเป็นเอนท์ที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดในโลกตนหนึ่ง โดยเขาเคยร้องเพลงให้เมอร์รี่กับปิ๊บปิ้นฟัง ถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งที่ตัวยังเยาว์ ว่าเคยเดินเล่นอยู่ในป่า นันทาซาริออน หรือก็คือแผ่นดินออสซิริอันด์ ดินแดนทางตะวันออกของเบเลริอันด์ ที่ล่มจมลงสู่ใต้มหาสมุทรเมื่อครั้งสิ้นสุดยุคที่หนึ่ง
วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561
ภาพ edit
ดึกดื่น คืนหนาว ดาวพร่าง
น้ำค้าง หยดค้าง บนพฤกษา
ลมผิว หวิวสั่ง วาจา
หลับเถิด แก้วตา อย่าอาวรณ์
เป็น มนุษย์ หาก'มี' เกินมนุษย์
มิใช่เทวะ ฤาตจะผุด ขึ้นมาได้
งามละไม ละม้าย กับนางพราย
มีสัญญาณ ประหลาดหลาย ในตัวนาง
โลกนี้ เหลือที่ จะนึกฝัน
เป็นมายา แปรผัน เปลี่ยนได้ง่าย
จริง-เท็จ เท็จจริง ปะปนไป
จริงตรงไหน เท็จตรงไหน ใครรู้จริง
เศียรเงื้อม ชะโงกง้ำ แผ่ขยาย
เนตรแดงคล้าย สุริยัน สาดส่อง
หงอนแผ่ พรายกลีบ เรืองรอง
เคราขาว ดุจละออง ฝ้ายปลิว
วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2561
บทเรียนแรกของการเรียนคือเขียนภาษาชาติที่คุณอาศัยอยู่ให้ถูกและเขียนให้เป็น
บทเรียนแรกของการเรียนคือเขียนภาษาชาติที่คุณอาศัยอยู่ให้ถูกและเขียนให้เป็น
#คัดไทย #เขียนไทย #อ่านเอาเรื่อง
เมื่อจะเป็นคนเขียนเรื่องไม่ว่าข่าวหรือบล็อกเกอร์ ก็ยังคงต้องใช้ภาษาให้ถูกและใช้ให้เป็น นักข่าวขาประจำหลายคนกดติดตามบล็อกเกอร์ที่เขียนภาษาผิดและรีทวิตไปอีก #อ่อนเอาเรื่อง
#คัดไทย #เขียนไทย #อ่านเอาเรื่อง
เมื่อจะเป็นคนเขียนเรื่องไม่ว่าข่าวหรือบล็อกเกอร์ ก็ยังคงต้องใช้ภาษาให้ถูกและใช้ให้เป็น นักข่าวขาประจำหลายคนกดติดตามบล็อกเกอร์ที่เขียนภาษาผิดและรีทวิตไปอีก #อ่อนเอาเรื่อง
ครั้งเมื่อ ร.๕ ทรงถูกท้าทาย ด้วยการให้ประทับบนหลังม้าที่ดุร้าย สู่..ตำนาน "พระบรมรูปทรงม้า"
ครั้งเมื่อ ร.๕ ทรงถูกท้าทาย ด้วยการให้ประทับบนหลังม้าที่ดุร้าย สู่..ตำนาน "พระบรมรูปทรงม้า"
Publish 2018-09-20 13:33:14
ในวันที่ ๒๐ กันยายน เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ ๕ หากใครต้องการไปกราบสักการะ ก็จะนึกพระบรมรูปทรงม้าเสมอ
ตำนานของพระบรมรูปทรงม้านั้นมีที่มาจาก เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ ได้รับคำแนะนำจากพระเจ้าน้องยาเธอ "กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์" ให้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ เข้านมัสการ "หลวงปู่เอี่ยม" วัดโคนอน เพื่อขอรับคำพยากรณ์ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น ภายหลังที่กำหนดการเสด็จวัดโคนอนได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นการส่วนพระองค์เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ส่งหมายกำหนดการไปถวายแด่หลวงปู่เอี่ยม เป็นการภายในเพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับเสด็จ
ขบวนเสด็จประกอบด้วย เรือพายสี่แจวที่ทรงประทับ และขบวนเรือคุ้มกัน ควบคุมโดยพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ ได้เคลื่อนที่เข้าคลองลัดสู่วัดโคนอน ชาวบ้านละแวกนั้นไม่ได้ไหวตัวหรือเอะใจแต่อย่างใด เพราะเห็นเป็นขบวนเรือธรรมดา มิได้ประดับประดาธงทิวให้แปลกไปกว่าเรือลำอื่นดูเหมือนกับเรือที่ขุนนางหรือเศรษฐีผู้มีทรัพย์ใช้กันทั่วไป และผู้ที่ขึ้นมาจากเรือสี่แจวต่างก็แต่งกายแบบธรรมดา มีหมวกสวมไว้บนศีรษะ ใบหน้าบ่งบอกถึงเป็นผู้มีบุญ หนวดบอกถึงผู้มีอำนาจดวงตาฉายแววแห่งความเมตตาปราณีตลอดเวลา เวลาเดินมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกคนไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า
"บุรุษผู้ขึ้นมาจากเรือสี่แจวนั้น คือ เจ้าชีวิตแห่งกรุงสยาม พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ผู้ทรงประกาศเลิกทาสโดยสิ้นเชิง"
พระปลัดเอี่ยมนั่งรออยู่บนอาสนะอันสมควรแก่ฐานานุรูป ภายในพระอุโบสถอันแคบ แบบวัดราษฏร์ในเขตอันไกลจากพระบรมมหาราชวัง กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ก้าวนำเสด็จเข้ามาภายในพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงจุดธูปเทียนบูชาสักการะพระประธาน กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงเสด็จกลับมาถวายนมัสการพระปลัดเอี่ยม ซึ่งกราบทูลให้ทรงประทับนั่งธรรมดาตามสบายพระองค์
"ที่รูปมาในวันนี้ ("รูป" เป็นคำที่พระมหากษัตริย์สมัยก่อนใช้แทนพระนามเมื่อมีพระราชดำรัสกับพระสงฆ์) เพื่อขอให้ท่านปลัดได้ช่วยตรวจดูเหตุการณ์ว่า การที่รูปจะเสด็จไปยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักในยุโรปนั้น จักเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยหนทางไกลและอันตรายมีอยู่รอบด้าน"
"มหาบพิตร อาตมาจักตรวจสอบให้ อย่าได้ทรงมีพระหทัยกังวล ทั้งนี้ด้วยพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสมมติเทพแบบพระองค์นั้น มีบุญญาธิการ สามารถผ่านพ้นความทุกข์ได้อย่างมั่นคง"
พระปลัดเอี่ยมลุกจากที่นั่งไปคุกเข่าลงหน้าพระประธาน ก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ระลึกถึงองค์พระรัตนตรัย และหลวงปู่รอดผู้มรณภาพไปแล้ว ขอบารมีในการจะเข้า "ฌาน" เพื่อดูอนาคตด้วย "อนาคตังสญาณ" จากนั้นก็กลับเข้ามาสู่ท่านั่งสมาธิตัวตรง เจริญอานาปานสติ แล้วเข้าสู่ฌานที่ ๔ ตามลำดับ จากนั้นเข้าสู่อนาคตังสญาณ โดยกำหนดจิตไว้มั่นเพื่อให้นิมิตเกิด
ในท่ามกลางความคะนองของท้องทะเล และคลื่นลมตลอดจนวังวนของทะเล เรือพระที่นั่งกำลังอยู่ในปากแห่งวังวนนั้น น้ำในวังวนเชี่ยวกราก และส่งแรงดูดมหาศาล ภายใต้วังวนนั้น ซากเรือใหญ่น้อยจมอยู่เป็นอันมาก พ้นจากทะเลมาสู่บก พลันภาพของกลุ่มคนที่นั่งกันอยู่เป็นชั้นๆ ส่งเสียงจ้อกแจัก ด้านล่างเป็นผืนหญ้า และมีผู้จูงม้าเข้ามาในที่นั้น ม้าตัวนั้นมีคนถือเชือกที่ล่ามขาทั้งสี่คอยดึงไว้ไม่ให้พยศ ดวงตาของมันเหลือกโปน น้ำลายฟูมปาก
ภาพของฝรั่งแต่งตัวด้วยเครื่องแบบประหลาด ผายมือให้พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ทรงเสด็จไปรับม้าเพื่อประทับ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบหายไป ถึงวาระที่ออกจากญาณพอดีลุกขึ้นเดินมานั่งบนอาสนะที่เดิม ก่อนจะกราบทูลความถวายว่า
"มหาบพิตร การเสด็จพระราชดำเนินสู่ยุโรปครั้งนี้ จะต้องประสบภัยสองครั้ง ครั้งแรกในทะเลที่วังวน อาตมาจะถวายผ้ายันต์พิเศษและคาถากำกับ เมื่อเข้าที่คับขันขอให้ทรงเสด็จไปยืนที่หัวเรือ แล้วภาวนาคาถากำกับผ้ายันต์แล้วโบกผ้านั้น จะเกิดลมมหาวาตะพัดให้เรือหลุดจากการเข้าสู่วังวนได้ ภัยครั้งที่สองเกิดจากสัตว์จตุบท (สี่เท้า) คืออัศดรชาติอันดุร้ายที่ฝ่ายตรงข้ามจะทดลองพระองค์ อาตมาจะถวายคาถาพิเศษสำหรับภาวนาเวลาถอนหญ้าให้อัศดรอันดุร้ายนั้นกิน จะคลายพยศและสามารถประทับบังคับให้ทำตามพระราชหฤทัยได้เหมือนม้าเชื่อง”
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ปู่ย่าตายายได้เล่าสืบทอดกันมาอันมีส่วนหนึ่งเกี่ยวพันกับพระบรมรูปทรงม้าที่ลานพระราชวังดุสิต คาถาเสกหญ้าให้ม้ากินที่หลวงปู่เอี่ยมถวายนั้น คือ "คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย" หรือ "มงกุฎพระพุทธเจ้า" มีตัวคาถาว่า
"อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ"
หลังจากได้ทรงมีพระราชดำรัสกับพระปลัดเอี่ยมพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ทรงถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่พระปลัดเอี่ยม จากนั้นได้เสด็จทอดพระเนตรโดยรอบวัดโคนอน ซึ่งตอนนี้มีผู้จดจำพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าได้แม่นยำ ได้บอกกันออกไป ทำให้มีผู้มาหมอบเฝ้ารับเสด็จกันเป็นจำนวนพอสมควร ครั้นทรงสำราญพระอิริยาบถพอสมควรแล้ว ก็เสด็จกลับสู่พระบรมมหาราชวัง เพื่อเตรียมพระองค์ไปทวีปยุโรปต่อไป
การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความสำราญส่วนพระองค์ แต่ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อประเทศชาติโดยแท้ จากจดหมายเหตุและพระราชหัตถเลขา ที่ทรงมีมายังพระพันปีหลวงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ทรงบอกชัดเจนว่า
"ทรงต้องผจญภัยในท้องทะเล กับคลื่นลมที่แปรปรวน ทรงพบกับความลำบากนานาประการอาทิ ต้องทรงงดเสวยพระโอสถหมากและพระโอสถมวน (หมาก พลู บุหรี่) และต้องให้ช่างมาขูดคราบพระทนต์ (ฟัน) ที่เกิดจากคราบหมากคราบปูนออกเพื่อให้พระทนต์ขาว ห้องพระบรรทมในเรือพระที่นั่งก็ไม่สะดวกสบาย อากาศร้อนเป็นที่สุด การเสวยก็ไม่เป็นไปตามที่ทรงพระประสงค์ ฯลฯ ซึ่งความยากลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาแรมเดือน ในช่วงที่ต้องใช้ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางเสด็จและในช่วงที่เสด็จรอนแรมในท้องทะเลนั่นเอง"
คำพยากรณ์ข้อที่ ๑ ของหลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอนก็เป็นจริง
เมื่อเรือพระที่นั่งแล่นอยู่ในบริเวณใกล้กับ สะดือทะเล หรือ "ซากัสโซ ซี" อันบริเวณนั้นมักจะเกิดน้ำวนเป็นประจำ และเรือลำใดบังเอิญหลงเข้าไปในวังน้ำวนนั้น ก็มีหวังจมลงอับปางเป็นแน่แท้ และแล้วเรือพระที่นั่งมหาจักรี ก็พลัดเข้าไปในวังวนนั้นจนได้ กัปต้นคัมมิง (Commander Cumming) แห่งราชนาวีอังกฤษซึ่งไทยได้ขอยืมตัวมาเป็นผู้บังคับการเรือพระที่นั่งเป็นการชั่วคราว ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มสติกำลังความสามารถ บังคับเรือให้สู้กับแรงหมุนและดูดอย่างเต็มที่ ด้วยหากเรือพระที่นั่งเข้าปากวังวนแล้ว การรอดออกมานั้นหมดหนทาง ในขณะที่วิกฤตินั้น ได้มีผู้เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ เมื่อระลึกถึงคำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมข้อแรกขึ้นมาได้ ก็ทรงจัดฉลองพระองค์ให้รัดกุม อาราธนาผ้ายันต์ของพระปลัดเอี่ยมติดมาด้วย เมื่อเสด็จมาถึงตอนหัวเรือ กัปตันกำลังแก้ไขสถานการณ์สุดกำลัง ทรงไม่รบกวนสมาธิของกัปตัน แต่เสด็จไปยืนอธิษฐานจิตถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราช และบารมีทศพิธราชธรรม และการเลิกทาสที่ทรงพระวิริยะอุตสาหะในการช่วยเหลือพสกนิกรให้พ้นจากการเป็นทาส จบลงด้วยพระปลัดเอี่ยมและผ้ายันต์ ทรงโบกผ้ายันต์นั้นไปมาด้วยความมั่นพระราชหฤทัย
แล้วปาฎิหาริย์ก็ปรากฎ เหตุการณ์ก็แปรเปลี่ยน จู่ ๆ ก็เกิดลมมหาวาตะพัดมาในทิศทางที่อยู่ในแนวเดียวกับวังวน แรงลมทำให้เกิดกระแสคลื่นสะกัดกระแสวนของวังน้ำ ดันเรือพระที่นั่งให้พ้นจากแรงดูดสามารถตั้งเข็มเข้าสู่เส้นทางได้ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนว่า "ฮูเรย์" ของกัปตันและลูกเรือ ส่วนผู้ติดตามเสด็จนั้นอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก จนทรงพับผ้ายันต์เก็บแล้วนั่นแหละ จึงค่อย ๆร้องว่า สาธุ สาธุ คำพยากรณ์ข้อแรกเป็นที่ประจักษ์แก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่า "แม่นยำยิ่งนัก" คงเหลือแต่คำพยากรณ์ข้อที่สองซึ่งยังมาไม่ถึง แต่ก็ทรงเตรียมพระองค์รับสถานการณ์หากจะเกิดขึ้น
ย้อนไปเมื่อครั้งสยามประเทศของเรายังคงมีกรณีพิพาทต่อกันในเรื่อง "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" กล่าวคือเราต้องยอมให้อังกฤษและฝรั่งเศสตั้งศาลกงสุลของตนในดินแดนไทย สำหรับตัดสินคดีความต่าง ๆ เมื่อคนของเขา หรือคนใดก็ตามแม้แต่คนไทยหัวใสบางคนที่ยอมตนจดทะเบียนเป็นคนในบังคับ (คล้าย ๆ กับการโอนสัญชาติ แต่ไม่ใช่ เพราะยังไม่มีสิทธิที่จะพำนักในประเทศของเขา) ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อย เพราะเวลาทำผิดแล้วไม่ต้องขึ้นศาลไทย ไม่ใช้กฎหมายไทยตัดสิน คนไทยเองก็เถอะ หากทำความผิดต่อคนของเขาแล้ว ต้องขึ้นศาลเขาและต้องยอมเขาทุกอย่าง แม้ศาลไทยจะตัดสินว่า "ถูก" หากเขาเห็นว่า "ผิด" คนผู้นั้นก็ต้องถูกลงอาญา ซึ่งเป็นหนามยอกอกของคนไทยในสมัยนั้นมาก ต้องยอมให้คนต่างชาติต่างแดนมากดหัวเรา มาเอาเปรียบเรา เป็นการยั่วยุให้เราหมดความอดทน หากก่อสงคราม ก็มีหวังสูญเสียเอกราชของชาติแน่นอน
กรณี "พระยอดเมืองขวาง" แขวงเมืองคำเกิดคำมวน วีรบุรุษไทยที่รักผืนแผ่นดินไทย รักในองค์พระมหากษัตริย์ไทย ได้ดับความอหังการ์ของทหารฝรั่งเศส ที่บุกรุกอธิปไตยของไทยที่เมืองขวาง จนต้องถูกจำคุกเสียหลายปี แม้ศาลไทยจะให้ปล่อยตัวเพราะเป็นการทำตามหน้าที่ แต่ศาลกงสุลของฝรั่งเศสในไทยตัดสินให้จำคุก ท่านก็ต้องติดคุกเพื่อชาติ เรื่องนี้คนไทยทั้งแผ่นดินในขณะนั้น แค้นแทบจะกระอักเลือดเลยครับ เกือบจะทำสงครามกันรอมร่ออยู่แล้ว ดีแต่องค์พระปิยมหาราชเจ้า ท่านทรงดำเนินวิเทโศบายด้านต่างประเทศด้วยการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเสียก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงทำสำเร็จเสียด้วย ผู้ที่แค้นแทบจะกระอักเลือดแทน ก็คงจะเป็น "เจ้าเศษฝรั่ง" น่ะเองซึ่งมันก็รอจังหวะและโอกาสที่จะล้างแค้นเหมือนกัน มันคิดว่า
"หากไม่มีล้นเกล้า ฯ ร.๕ เสียพระองค์หนึ่ง สยามประเทศเราก็เปรียบเสมือนมังกรที่ไร้หัว" ที่นี้คงมีโอกาสมากขึ้นหากจะฮุบประเทศชาติของเราไว้ในกำมือ และแล้วแผนการอันแยบยลก็อุบัติขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จเยือนประเทศฝรั่งเศส แม้เขาจะต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น หลังฉากน่ะหรือ ? ได้กำหนดขึ้นเพื่อต้อนรับพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้ว ในสนามแข่งม้าชานกรุงปารีสนั่นเอง เมื่อพระองค์ได้รับคำทูลเชิญให้เสด็จทอดพระเนตรการแข่งม้านัดสำคัญนัดหนึ่งซึ่งมีขุนนาง ข้าราชการ พระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศสมาชมกันมาก พวกมันได้นำเอาม้าดุร้ายและพยศอย่างร้ายกาจมาถวายให้ทรงประทับ โดยถือโอกาสขณะที่อยู่ท่ามกลางมหาสมาคม แม้รู้ว่าม้านั้นดุร้าย พระปิยมหราชเจ้าก็จะไม่ทรงหลีกหนี ด้วยขัตติยะมานะที่ทรงมีอยู่ในฐานะผู้นำประเทศ หากทรงพลาดพลั้งนั่นคือ "อุบัติเหตุ" ใครก็จะเอาผิดหรือต่อว่าเจ้าเศษฝรั่งไม่ได้”
ม้าตัวนั้นเล่าลือกันว่า เคยโขกกัดผู้เลี้ยงดูและผู้หาญขึ้นไปขี่ตายมาแล้วหลายคน จะเอาไปไหนต้องมีคนจูงด้วยเชือกล่ามเท้าทั้งสี่ไว้ เพื่อป้องกันการพยศและขบกัดผู้คน นัยว่าเป็นม้าของเจ้าชายแห่งฝรั่งเศสพระองค์หนึ่ง เมื่อถูกนำเข้ามาในสนาม ทุกคนก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มวางหลุมพราง โดยกราบบังคมทูลว่า
"ไม่ทราบเกล้าว่าเมื่ออยู่ในสยามประเทศเคยทรงม้าหรือไม่ พระเจ้าข้า"
"แน่นอน ข้าพเจ้าเคยทรงอยู่เป็นประจำ เพราะในสยามประเทศก็มีม้าพันธุ์ดีอยู่มาก"
"โอ วิเศษ ขออัญเชิญพระองค์ทรงเสด็จขึ้นทรงม้า ตัวที่กำลังถูกจูงเข้ามานี้ให้ประจักษ์ชัดแก่สายตาของผู้คนในสนามม้านี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า"
ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสกราบทูลด้วยความกระหยิ่มใจ
"แน่นอน ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านทั้งหลายได้ดูว่า กษัตริย์แห่งสยามประเทศนั้นไม่เคยหวาดหวั่นกลัวแม้แต่อัสดรที่พยศดุร้าย หรือผู้คุกคามที่มีอาวุธพร้อมสรรพ"
จบพระราชดำรัสก็ทรงลุกขึ้นเปิดพระมาลาขึ้นรับการปรบมืออันกึกก้องสนามม้าแห่งนั้น แล้วเสด็จพระราชดำเนินลงจากอัฒจันทร์ สู่ลู่ด้านล่างซึ่งขณะนั้นม้ายืนส่งเสียงร้องและเอากีบเท้าตะกุยจนหญ้าขาดกระจุยกระจาย คำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมยังกึกก้องอยู่ในพระกรรณ ทรงก้มพระวรกายลงใช้พระหัตถ์ขวารวบยอดหญ้าแล้วดึงขึ้นมากำมือหนึ่ง ทรงตั้งจิตอธิษฐานถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราชและพระปลัดเอี่ยม เจริญภาวนาพระคาถาอิติปิโสเรือนเตี้ยที่พระปลัดเอี่ยมถวายสามจบ ทรงเป่าลมจากพระโอษฐ์ลงไปบนกำหญ้านั้น แล้วแผ่เมตตาซ้ำ ยื่นส่งไปที่ปากม้า เจ้าสัตว์สี่เท้าผู้ดุร้ายสะบัดแผงคอส่งเสียงดังลั่นก่อนจะอ้าปากงับเอาหญ้าในพระหัตถ์ไปเคี้ยวกินแล้วก็กลืนลงไป
ผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสโบกผ้าเช็ดหน้า เป็นสัญญาณให้แก้เชือกที่ตรึงเท้าม้าออกไปพ้นทั้งสี่เท้าบัดนี้เจ้าสัตว์ร้ายพ้นจากพันธนาการ และบรรดาผู้ที่จูงมันเข้ามาก็ผละหนี เพราะเกรงกลัวในความดุร้ายของมัน พระปิยะมหาราชเจ้าทรงทอดสายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่นัยน์ตาของม้านั้น ก็เห็นว่ามันมีแววตาอันเป็นปกติ มิได้เหลือกโปนดุร้าย ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปตบที่ขาหน้าของมันสามครั้ง เจ้าม้านั้นก็ก้มหัวลงมาดมที่พระกรไม่แสดงอาการตื่น หญ้าเสกสำริดผลตามประสงค์
อาชาที่ดุร้ายกลับเชื่องลงเหมือนม้าลากรถ เจ้าชีวิตแห่งสยามประเทศยกพระบาทขึ้นเหยียบโกลนข้างหนึ่งแล้วหยัดพระวรกายขึ้นประทับบนอานม้าอย่างสง่างามไร้อาการต่อต้านของม้าที่เคยดุร้ายเสียงคนบนอัฒจันทร์ส่งเสียงตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า "บราโวส บราโวส" อันหมายถึงว่า "วิเศษที่สุด เก่งที่สุด ยอดที่สุด" ทรงกระตุ้นม้าให้ออกเดินเหยาะย่างไปโดยรอบสนาม ผ่านอัฒจันทร์ที่มีผู้คนคอยชม เปิดพระมาลารับเสียงตะโกนเฉลิมพระเกียรติบางคนก็โยนหมวก โดยมีดอกกุหลาบลงมาเกลื่อนสนามตลอดระยะทางที่ทรงเหยาะย่างม้าผ่านไปจนครบรอบ จึงเสด็จลงจากหลังม้ากลับขึ้นไปประทับบนพระที่นั่งตามเดิม
บรรดาพี่เลี้ยงม้าก็เข้ามาจูงม้านั้นออกไปจากสนาม คำพยากรณ์ข้อที่สองและคาถาที่พระปลัดเอี่ยมแห่งวัดโคนอนถวาย ได้สำริดผลประจักษ์แก่พระราชหฤทัย ทรงระลึกถึงพระปลัดเอี่ยมว่า เป็นผู้ที่จงรักภักดีโดยแท้จริง และได้ช่วยให้ทรงผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาถึงสองครั้งสองครา และทั้งหมดนี้คือจุดเล็กๆ ในเกร็ดพระราชประวัติ เป็นปฐมเหตุแห่งพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระราชวังดุสิต ที่เล่าขานกันต่อมาช้านาน และยังคงกึกก้องในโสตประสาทของปวงชนชาวไทยต่อไป ชั่วกาลปาวสาน นับว่าเป็นศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสยาม ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยแท้
พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบรมรูปทรงม้า ตั้งอยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า สร้างขึ้นในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยนำแบบอย่างมาจากพระบรมรูปของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส ที่กรุงปารีส ด้วยฝีมือนายช่างชาวฝรั่งเศส บริษัท ซุซ แฟรส์ ฟองเดอร์ (Susse Frères Fondeur) ในวโรกาส ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐
พระองค์เสด็จประทับ ให้ช่างปั้นชื่อ จอร์จ เซาโล (Georges Saulo) ปั้น เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๔๕๐ พระบรมรูปสำเร็จเรียบร้อยส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อ วันพุธที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๕๑ อันเป็น เวลาพอดีกับงานพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในโอกาสเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ๔๐ ปี เจ้าพนักงานได้อัญเชิญพระบรมรูปทรงม้าขึ้นประดิษฐานบนแท่นรองหน้าพระราชวังดุสิต โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปทรงทำพิธีเปิดด้วยพระองค์เอง
พระบรมรูปทรงม้าสร้างขึ้นด้วยเงินที่ประชาชนได้เรี่ยไรสมทบทุน ส่วนเงินที่เหลือเป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้นำไปสร้างมหาวิทยาลัยขึ้น มีนามตามพระปรมาภิไธยว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย
ขอบคุณที่มาจาก : http://www.dharma-gateway.com
https://th.wikipedia.org/wiki/พระบรมรูปทรงม้า
เรียบเรียงโดย : เสาวลักษณ์ แสงสุวรรณ
Publish 2018-09-20 13:33:14
ในวันที่ ๒๐ กันยายน เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ ๕ หากใครต้องการไปกราบสักการะ ก็จะนึกพระบรมรูปทรงม้าเสมอ
ตำนานของพระบรมรูปทรงม้านั้นมีที่มาจาก เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๕ ได้รับคำแนะนำจากพระเจ้าน้องยาเธอ "กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์" ให้เสด็จพระราชดำเนินเป็นการส่วนพระองค์ เข้านมัสการ "หลวงปู่เอี่ยม" วัดโคนอน เพื่อขอรับคำพยากรณ์ก่อนที่จะเสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๐ นั้น ภายหลังที่กำหนดการเสด็จวัดโคนอนได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นการส่วนพระองค์เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ส่งหมายกำหนดการไปถวายแด่หลวงปู่เอี่ยม เป็นการภายในเพื่อที่จะได้เตรียมตัวรับเสด็จ
ขบวนเสด็จประกอบด้วย เรือพายสี่แจวที่ทรงประทับ และขบวนเรือคุ้มกัน ควบคุมโดยพระเจ้าน้องยาเธอกรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ ได้เคลื่อนที่เข้าคลองลัดสู่วัดโคนอน ชาวบ้านละแวกนั้นไม่ได้ไหวตัวหรือเอะใจแต่อย่างใด เพราะเห็นเป็นขบวนเรือธรรมดา มิได้ประดับประดาธงทิวให้แปลกไปกว่าเรือลำอื่นดูเหมือนกับเรือที่ขุนนางหรือเศรษฐีผู้มีทรัพย์ใช้กันทั่วไป และผู้ที่ขึ้นมาจากเรือสี่แจวต่างก็แต่งกายแบบธรรมดา มีหมวกสวมไว้บนศีรษะ ใบหน้าบ่งบอกถึงเป็นผู้มีบุญ หนวดบอกถึงผู้มีอำนาจดวงตาฉายแววแห่งความเมตตาปราณีตลอดเวลา เวลาเดินมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ทุกคนไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า
"บุรุษผู้ขึ้นมาจากเรือสี่แจวนั้น คือ เจ้าชีวิตแห่งกรุงสยาม พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ผู้ทรงประกาศเลิกทาสโดยสิ้นเชิง"
พระปลัดเอี่ยมนั่งรออยู่บนอาสนะอันสมควรแก่ฐานานุรูป ภายในพระอุโบสถอันแคบ แบบวัดราษฏร์ในเขตอันไกลจากพระบรมมหาราชวัง กรมหลวงนเรศวรฤทธิ์ก้าวนำเสด็จเข้ามาภายในพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงจุดธูปเทียนบูชาสักการะพระประธาน กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วจึงเสด็จกลับมาถวายนมัสการพระปลัดเอี่ยม ซึ่งกราบทูลให้ทรงประทับนั่งธรรมดาตามสบายพระองค์
"ที่รูปมาในวันนี้ ("รูป" เป็นคำที่พระมหากษัตริย์สมัยก่อนใช้แทนพระนามเมื่อมีพระราชดำรัสกับพระสงฆ์) เพื่อขอให้ท่านปลัดได้ช่วยตรวจดูเหตุการณ์ว่า การที่รูปจะเสด็จไปยุโรปเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับราชสำนักในยุโรปนั้น จักเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยหนทางไกลและอันตรายมีอยู่รอบด้าน"
"มหาบพิตร อาตมาจักตรวจสอบให้ อย่าได้ทรงมีพระหทัยกังวล ทั้งนี้ด้วยพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นสมมติเทพแบบพระองค์นั้น มีบุญญาธิการ สามารถผ่านพ้นความทุกข์ได้อย่างมั่นคง"
พระปลัดเอี่ยมลุกจากที่นั่งไปคุกเข่าลงหน้าพระประธาน ก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ระลึกถึงองค์พระรัตนตรัย และหลวงปู่รอดผู้มรณภาพไปแล้ว ขอบารมีในการจะเข้า "ฌาน" เพื่อดูอนาคตด้วย "อนาคตังสญาณ" จากนั้นก็กลับเข้ามาสู่ท่านั่งสมาธิตัวตรง เจริญอานาปานสติ แล้วเข้าสู่ฌานที่ ๔ ตามลำดับ จากนั้นเข้าสู่อนาคตังสญาณ โดยกำหนดจิตไว้มั่นเพื่อให้นิมิตเกิด
ในท่ามกลางความคะนองของท้องทะเล และคลื่นลมตลอดจนวังวนของทะเล เรือพระที่นั่งกำลังอยู่ในปากแห่งวังวนนั้น น้ำในวังวนเชี่ยวกราก และส่งแรงดูดมหาศาล ภายใต้วังวนนั้น ซากเรือใหญ่น้อยจมอยู่เป็นอันมาก พ้นจากทะเลมาสู่บก พลันภาพของกลุ่มคนที่นั่งกันอยู่เป็นชั้นๆ ส่งเสียงจ้อกแจัก ด้านล่างเป็นผืนหญ้า และมีผู้จูงม้าเข้ามาในที่นั้น ม้าตัวนั้นมีคนถือเชือกที่ล่ามขาทั้งสี่คอยดึงไว้ไม่ให้พยศ ดวงตาของมันเหลือกโปน น้ำลายฟูมปาก
ภาพของฝรั่งแต่งตัวด้วยเครื่องแบบประหลาด ผายมือให้พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า ทรงเสด็จไปรับม้าเพื่อประทับ แล้วทุกอย่างก็ดับวูบหายไป ถึงวาระที่ออกจากญาณพอดีลุกขึ้นเดินมานั่งบนอาสนะที่เดิม ก่อนจะกราบทูลความถวายว่า
"มหาบพิตร การเสด็จพระราชดำเนินสู่ยุโรปครั้งนี้ จะต้องประสบภัยสองครั้ง ครั้งแรกในทะเลที่วังวน อาตมาจะถวายผ้ายันต์พิเศษและคาถากำกับ เมื่อเข้าที่คับขันขอให้ทรงเสด็จไปยืนที่หัวเรือ แล้วภาวนาคาถากำกับผ้ายันต์แล้วโบกผ้านั้น จะเกิดลมมหาวาตะพัดให้เรือหลุดจากการเข้าสู่วังวนได้ ภัยครั้งที่สองเกิดจากสัตว์จตุบท (สี่เท้า) คืออัศดรชาติอันดุร้ายที่ฝ่ายตรงข้ามจะทดลองพระองค์ อาตมาจะถวายคาถาพิเศษสำหรับภาวนาเวลาถอนหญ้าให้อัศดรอันดุร้ายนั้นกิน จะคลายพยศและสามารถประทับบังคับให้ทำตามพระราชหฤทัยได้เหมือนม้าเชื่อง”
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าหลวง ปู่ย่าตายายได้เล่าสืบทอดกันมาอันมีส่วนหนึ่งเกี่ยวพันกับพระบรมรูปทรงม้าที่ลานพระราชวังดุสิต คาถาเสกหญ้าให้ม้ากินที่หลวงปู่เอี่ยมถวายนั้น คือ "คาถาอิติปิโสเรือนเตี้ย" หรือ "มงกุฎพระพุทธเจ้า" มีตัวคาถาว่า
"อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ"
หลังจากได้ทรงมีพระราชดำรัสกับพระปลัดเอี่ยมพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ทรงถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่พระปลัดเอี่ยม จากนั้นได้เสด็จทอดพระเนตรโดยรอบวัดโคนอน ซึ่งตอนนี้มีผู้จดจำพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าได้แม่นยำ ได้บอกกันออกไป ทำให้มีผู้มาหมอบเฝ้ารับเสด็จกันเป็นจำนวนพอสมควร ครั้นทรงสำราญพระอิริยาบถพอสมควรแล้ว ก็เสด็จกลับสู่พระบรมมหาราชวัง เพื่อเตรียมพระองค์ไปทวีปยุโรปต่อไป
การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความสำราญส่วนพระองค์ แต่ทรงเสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อประเทศชาติโดยแท้ จากจดหมายเหตุและพระราชหัตถเลขา ที่ทรงมีมายังพระพันปีหลวงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ทรงบอกชัดเจนว่า
"ทรงต้องผจญภัยในท้องทะเล กับคลื่นลมที่แปรปรวน ทรงพบกับความลำบากนานาประการอาทิ ต้องทรงงดเสวยพระโอสถหมากและพระโอสถมวน (หมาก พลู บุหรี่) และต้องให้ช่างมาขูดคราบพระทนต์ (ฟัน) ที่เกิดจากคราบหมากคราบปูนออกเพื่อให้พระทนต์ขาว ห้องพระบรรทมในเรือพระที่นั่งก็ไม่สะดวกสบาย อากาศร้อนเป็นที่สุด การเสวยก็ไม่เป็นไปตามที่ทรงพระประสงค์ ฯลฯ ซึ่งความยากลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาแรมเดือน ในช่วงที่ต้องใช้ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางเสด็จและในช่วงที่เสด็จรอนแรมในท้องทะเลนั่นเอง"
คำพยากรณ์ข้อที่ ๑ ของหลวงปู่เอี่ยม วัดโคนอนก็เป็นจริง
เมื่อเรือพระที่นั่งแล่นอยู่ในบริเวณใกล้กับ สะดือทะเล หรือ "ซากัสโซ ซี" อันบริเวณนั้นมักจะเกิดน้ำวนเป็นประจำ และเรือลำใดบังเอิญหลงเข้าไปในวังน้ำวนนั้น ก็มีหวังจมลงอับปางเป็นแน่แท้ และแล้วเรือพระที่นั่งมหาจักรี ก็พลัดเข้าไปในวังวนนั้นจนได้ กัปต้นคัมมิง (Commander Cumming) แห่งราชนาวีอังกฤษซึ่งไทยได้ขอยืมตัวมาเป็นผู้บังคับการเรือพระที่นั่งเป็นการชั่วคราว ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มสติกำลังความสามารถ บังคับเรือให้สู้กับแรงหมุนและดูดอย่างเต็มที่ ด้วยหากเรือพระที่นั่งเข้าปากวังวนแล้ว การรอดออกมานั้นหมดหนทาง ในขณะที่วิกฤตินั้น ได้มีผู้เข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ เมื่อระลึกถึงคำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมข้อแรกขึ้นมาได้ ก็ทรงจัดฉลองพระองค์ให้รัดกุม อาราธนาผ้ายันต์ของพระปลัดเอี่ยมติดมาด้วย เมื่อเสด็จมาถึงตอนหัวเรือ กัปตันกำลังแก้ไขสถานการณ์สุดกำลัง ทรงไม่รบกวนสมาธิของกัปตัน แต่เสด็จไปยืนอธิษฐานจิตถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราช และบารมีทศพิธราชธรรม และการเลิกทาสที่ทรงพระวิริยะอุตสาหะในการช่วยเหลือพสกนิกรให้พ้นจากการเป็นทาส จบลงด้วยพระปลัดเอี่ยมและผ้ายันต์ ทรงโบกผ้ายันต์นั้นไปมาด้วยความมั่นพระราชหฤทัย
แล้วปาฎิหาริย์ก็ปรากฎ เหตุการณ์ก็แปรเปลี่ยน จู่ ๆ ก็เกิดลมมหาวาตะพัดมาในทิศทางที่อยู่ในแนวเดียวกับวังวน แรงลมทำให้เกิดกระแสคลื่นสะกัดกระแสวนของวังน้ำ ดันเรือพระที่นั่งให้พ้นจากแรงดูดสามารถตั้งเข็มเข้าสู่เส้นทางได้ ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนว่า "ฮูเรย์" ของกัปตันและลูกเรือ ส่วนผู้ติดตามเสด็จนั้นอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก จนทรงพับผ้ายันต์เก็บแล้วนั่นแหละ จึงค่อย ๆร้องว่า สาธุ สาธุ คำพยากรณ์ข้อแรกเป็นที่ประจักษ์แก่พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงว่า "แม่นยำยิ่งนัก" คงเหลือแต่คำพยากรณ์ข้อที่สองซึ่งยังมาไม่ถึง แต่ก็ทรงเตรียมพระองค์รับสถานการณ์หากจะเกิดขึ้น
ย้อนไปเมื่อครั้งสยามประเทศของเรายังคงมีกรณีพิพาทต่อกันในเรื่อง "สิทธิสภาพนอกอาณาเขต" กล่าวคือเราต้องยอมให้อังกฤษและฝรั่งเศสตั้งศาลกงสุลของตนในดินแดนไทย สำหรับตัดสินคดีความต่าง ๆ เมื่อคนของเขา หรือคนใดก็ตามแม้แต่คนไทยหัวใสบางคนที่ยอมตนจดทะเบียนเป็นคนในบังคับ (คล้าย ๆ กับการโอนสัญชาติ แต่ไม่ใช่ เพราะยังไม่มีสิทธิที่จะพำนักในประเทศของเขา) ซึ่งก็มีจำนวนไม่น้อย เพราะเวลาทำผิดแล้วไม่ต้องขึ้นศาลไทย ไม่ใช้กฎหมายไทยตัดสิน คนไทยเองก็เถอะ หากทำความผิดต่อคนของเขาแล้ว ต้องขึ้นศาลเขาและต้องยอมเขาทุกอย่าง แม้ศาลไทยจะตัดสินว่า "ถูก" หากเขาเห็นว่า "ผิด" คนผู้นั้นก็ต้องถูกลงอาญา ซึ่งเป็นหนามยอกอกของคนไทยในสมัยนั้นมาก ต้องยอมให้คนต่างชาติต่างแดนมากดหัวเรา มาเอาเปรียบเรา เป็นการยั่วยุให้เราหมดความอดทน หากก่อสงคราม ก็มีหวังสูญเสียเอกราชของชาติแน่นอน
กรณี "พระยอดเมืองขวาง" แขวงเมืองคำเกิดคำมวน วีรบุรุษไทยที่รักผืนแผ่นดินไทย รักในองค์พระมหากษัตริย์ไทย ได้ดับความอหังการ์ของทหารฝรั่งเศส ที่บุกรุกอธิปไตยของไทยที่เมืองขวาง จนต้องถูกจำคุกเสียหลายปี แม้ศาลไทยจะให้ปล่อยตัวเพราะเป็นการทำตามหน้าที่ แต่ศาลกงสุลของฝรั่งเศสในไทยตัดสินให้จำคุก ท่านก็ต้องติดคุกเพื่อชาติ เรื่องนี้คนไทยทั้งแผ่นดินในขณะนั้น แค้นแทบจะกระอักเลือดเลยครับ เกือบจะทำสงครามกันรอมร่ออยู่แล้ว ดีแต่องค์พระปิยมหาราชเจ้า ท่านทรงดำเนินวิเทโศบายด้านต่างประเทศด้วยการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรปเสียก่อน แล้วพระองค์ก็ทรงทำสำเร็จเสียด้วย ผู้ที่แค้นแทบจะกระอักเลือดแทน ก็คงจะเป็น "เจ้าเศษฝรั่ง" น่ะเองซึ่งมันก็รอจังหวะและโอกาสที่จะล้างแค้นเหมือนกัน มันคิดว่า
"หากไม่มีล้นเกล้า ฯ ร.๕ เสียพระองค์หนึ่ง สยามประเทศเราก็เปรียบเสมือนมังกรที่ไร้หัว" ที่นี้คงมีโอกาสมากขึ้นหากจะฮุบประเทศชาติของเราไว้ในกำมือ และแล้วแผนการอันแยบยลก็อุบัติขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จเยือนประเทศฝรั่งเศส แม้เขาจะต้อนรับพระองค์อย่างสมพระเกียรติก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงหน้าฉากเท่านั้น หลังฉากน่ะหรือ ? ได้กำหนดขึ้นเพื่อต้อนรับพระองค์ไว้เรียบร้อยแล้ว ในสนามแข่งม้าชานกรุงปารีสนั่นเอง เมื่อพระองค์ได้รับคำทูลเชิญให้เสด็จทอดพระเนตรการแข่งม้านัดสำคัญนัดหนึ่งซึ่งมีขุนนาง ข้าราชการ พระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศสมาชมกันมาก พวกมันได้นำเอาม้าดุร้ายและพยศอย่างร้ายกาจมาถวายให้ทรงประทับ โดยถือโอกาสขณะที่อยู่ท่ามกลางมหาสมาคม แม้รู้ว่าม้านั้นดุร้าย พระปิยมหราชเจ้าก็จะไม่ทรงหลีกหนี ด้วยขัตติยะมานะที่ทรงมีอยู่ในฐานะผู้นำประเทศ หากทรงพลาดพลั้งนั่นคือ "อุบัติเหตุ" ใครก็จะเอาผิดหรือต่อว่าเจ้าเศษฝรั่งไม่ได้”
ม้าตัวนั้นเล่าลือกันว่า เคยโขกกัดผู้เลี้ยงดูและผู้หาญขึ้นไปขี่ตายมาแล้วหลายคน จะเอาไปไหนต้องมีคนจูงด้วยเชือกล่ามเท้าทั้งสี่ไว้ เพื่อป้องกันการพยศและขบกัดผู้คน นัยว่าเป็นม้าของเจ้าชายแห่งฝรั่งเศสพระองค์หนึ่ง เมื่อถูกนำเข้ามาในสนาม ทุกคนก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสเริ่มวางหลุมพราง โดยกราบบังคมทูลว่า
"ไม่ทราบเกล้าว่าเมื่ออยู่ในสยามประเทศเคยทรงม้าหรือไม่ พระเจ้าข้า"
"แน่นอน ข้าพเจ้าเคยทรงอยู่เป็นประจำ เพราะในสยามประเทศก็มีม้าพันธุ์ดีอยู่มาก"
"โอ วิเศษ ขออัญเชิญพระองค์ทรงเสด็จขึ้นทรงม้า ตัวที่กำลังถูกจูงเข้ามานี้ให้ประจักษ์ชัดแก่สายตาของผู้คนในสนามม้านี้ด้วยเถิดพระเจ้าข้า"
ตัวแทนรัฐบาลฝรั่งเศสกราบทูลด้วยความกระหยิ่มใจ
"แน่นอน ข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านทั้งหลายได้ดูว่า กษัตริย์แห่งสยามประเทศนั้นไม่เคยหวาดหวั่นกลัวแม้แต่อัสดรที่พยศดุร้าย หรือผู้คุกคามที่มีอาวุธพร้อมสรรพ"
จบพระราชดำรัสก็ทรงลุกขึ้นเปิดพระมาลาขึ้นรับการปรบมืออันกึกก้องสนามม้าแห่งนั้น แล้วเสด็จพระราชดำเนินลงจากอัฒจันทร์ สู่ลู่ด้านล่างซึ่งขณะนั้นม้ายืนส่งเสียงร้องและเอากีบเท้าตะกุยจนหญ้าขาดกระจุยกระจาย คำพยากรณ์ของพระปลัดเอี่ยมยังกึกก้องอยู่ในพระกรรณ ทรงก้มพระวรกายลงใช้พระหัตถ์ขวารวบยอดหญ้าแล้วดึงขึ้นมากำมือหนึ่ง ทรงตั้งจิตอธิษฐานถึงพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราชและพระปลัดเอี่ยม เจริญภาวนาพระคาถาอิติปิโสเรือนเตี้ยที่พระปลัดเอี่ยมถวายสามจบ ทรงเป่าลมจากพระโอษฐ์ลงไปบนกำหญ้านั้น แล้วแผ่เมตตาซ้ำ ยื่นส่งไปที่ปากม้า เจ้าสัตว์สี่เท้าผู้ดุร้ายสะบัดแผงคอส่งเสียงดังลั่นก่อนจะอ้าปากงับเอาหญ้าในพระหัตถ์ไปเคี้ยวกินแล้วก็กลืนลงไป
ผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสโบกผ้าเช็ดหน้า เป็นสัญญาณให้แก้เชือกที่ตรึงเท้าม้าออกไปพ้นทั้งสี่เท้าบัดนี้เจ้าสัตว์ร้ายพ้นจากพันธนาการ และบรรดาผู้ที่จูงมันเข้ามาก็ผละหนี เพราะเกรงกลัวในความดุร้ายของมัน พระปิยะมหาราชเจ้าทรงทอดสายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่นัยน์ตาของม้านั้น ก็เห็นว่ามันมีแววตาอันเป็นปกติ มิได้เหลือกโปนดุร้าย ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปตบที่ขาหน้าของมันสามครั้ง เจ้าม้านั้นก็ก้มหัวลงมาดมที่พระกรไม่แสดงอาการตื่น หญ้าเสกสำริดผลตามประสงค์
อาชาที่ดุร้ายกลับเชื่องลงเหมือนม้าลากรถ เจ้าชีวิตแห่งสยามประเทศยกพระบาทขึ้นเหยียบโกลนข้างหนึ่งแล้วหยัดพระวรกายขึ้นประทับบนอานม้าอย่างสง่างามไร้อาการต่อต้านของม้าที่เคยดุร้ายเสียงคนบนอัฒจันทร์ส่งเสียงตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียวกันว่า "บราโวส บราโวส" อันหมายถึงว่า "วิเศษที่สุด เก่งที่สุด ยอดที่สุด" ทรงกระตุ้นม้าให้ออกเดินเหยาะย่างไปโดยรอบสนาม ผ่านอัฒจันทร์ที่มีผู้คนคอยชม เปิดพระมาลารับเสียงตะโกนเฉลิมพระเกียรติบางคนก็โยนหมวก โดยมีดอกกุหลาบลงมาเกลื่อนสนามตลอดระยะทางที่ทรงเหยาะย่างม้าผ่านไปจนครบรอบ จึงเสด็จลงจากหลังม้ากลับขึ้นไปประทับบนพระที่นั่งตามเดิม
บรรดาพี่เลี้ยงม้าก็เข้ามาจูงม้านั้นออกไปจากสนาม คำพยากรณ์ข้อที่สองและคาถาที่พระปลัดเอี่ยมแห่งวัดโคนอนถวาย ได้สำริดผลประจักษ์แก่พระราชหฤทัย ทรงระลึกถึงพระปลัดเอี่ยมว่า เป็นผู้ที่จงรักภักดีโดยแท้จริง และได้ช่วยให้ทรงผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายมาถึงสองครั้งสองครา และทั้งหมดนี้คือจุดเล็กๆ ในเกร็ดพระราชประวัติ เป็นปฐมเหตุแห่งพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระราชวังดุสิต ที่เล่าขานกันต่อมาช้านาน และยังคงกึกก้องในโสตประสาทของปวงชนชาวไทยต่อไป ชั่วกาลปาวสาน นับว่าเป็นศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสยาม ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโดยแท้
พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบรมรูปทรงม้า ตั้งอยู่ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า สร้างขึ้นในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยนำแบบอย่างมาจากพระบรมรูปของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส ที่กรุงปารีส ด้วยฝีมือนายช่างชาวฝรั่งเศส บริษัท ซุซ แฟรส์ ฟองเดอร์ (Susse Frères Fondeur) ในวโรกาส ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐
พระองค์เสด็จประทับ ให้ช่างปั้นชื่อ จอร์จ เซาโล (Georges Saulo) ปั้น เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๔๕๐ พระบรมรูปสำเร็จเรียบร้อยส่งเข้ามาถึงกรุงเทพฯ เมื่อ วันพุธที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๕๑ อันเป็น เวลาพอดีกับงานพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก เนื่องในโอกาสเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ ๔๐ ปี เจ้าพนักงานได้อัญเชิญพระบรมรูปทรงม้าขึ้นประดิษฐานบนแท่นรองหน้าพระราชวังดุสิต โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปทรงทำพิธีเปิดด้วยพระองค์เอง
พระบรมรูปทรงม้าสร้างขึ้นด้วยเงินที่ประชาชนได้เรี่ยไรสมทบทุน ส่วนเงินที่เหลือเป็นจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้นำไปสร้างมหาวิทยาลัยขึ้น มีนามตามพระปรมาภิไธยว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย
ขอบคุณที่มาจาก : http://www.dharma-gateway.com
https://th.wikipedia.org/wiki/พระบรมรูปทรงม้า
เรียบเรียงโดย : เสาวลักษณ์ แสงสุวรรณ
ศาสนาไม่ใช่สิ่งที่เหมือนถังขยะรับคนที่ทางโลกไม่ต้องการแล้ว.
เพื่อมิให้พระพุทธศาสนาเป็นเหมือนถังขยะรับคนที่ทางโลกไม่ต้องการแล้ว.
เราทั้งหลายเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ครอบงำแล้ว มีทุกข์ประจำแล้ว ควรรู้ว่าผู้ใดสิ่งใดเป็นข้อห้าม สิ่งใดเป็นหัวใจของคนพุทธ ศาสนาที่มีคนทำตามไปทั่วโลกแต่ตามอย่างรู้จริงหรือตามแต่ลีลาเงาพุทธ
นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวกว่ามากนัก
ยิ่งนานยิ่งไร้แก่น มากพิธีไม่ผิดแต่พิธีที่มีนัยยะสอนกลับหายไป
เวลาเปลี่ยนไป เรื่องภิกษุสาวกในธรรมวินัย สมัยพุทธกาล
ก็ยังมีนอกเเนวก็มี ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า ไม่ขยันศึกษาก็พอมี
เพราะยิ่งสมัยนั้น ทุกคนที่จะเข้ามาเเอบบวชบ้าง มาขอบวชเพราะศรัทธามีอยู่
เเต่ทุกคนต่างมีจาก ผู้ที่มีศรัทธาอื่น ลัทธิอื่น เคยเชื่อในปริพาชก เดียรถีย์เหล่าอื่นมาก่อน ต้องมีปัญญาเห็นทางส่วนเเละศรัทธานำจริงๆ จึงจะสำเร็จ เเละเสร็จกิจที่ควรจะทำ
กุลบุตรเข้ามาบวชในสมัยก่อน มาเพื่ออยากบวช เสื่อมใสศรัทธาต่อ พระพุทธเจ้า หรือ เห็นประโยชน์ของการบวช เพื่อเป็นไปในทางสงบ
การบวชเป็นพระ....ต้องช่วยเหลือตนเองแทบทั้งหมด...
หากพิการยิ่งทำให้ตนเองลำบาก...ก็จะเป็นภาระ ทั้งต่อตนเองและพระอื่นๆ..หากตกอยู่ในข้อห้ามตามพระสูตรจะทุรนทุรายไปก็ยิ่งไม่ใช่ผู้ที่รู้จักพุทธะ ยิ่งไม่ใช่ผู้พร้อมบวชในทุกประการ แล้วบรรลุธรรมได้ไหม..ประเด็นนี้.ต้องทำความเข้าใจใหม่ทั้งหมด....
...การบรรลุเป็นพระอรหันต์....ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีทีทำมาทั้งหมด..มิใช่แค่เมื่อวานมาวันนี้....ปัจจุบัน..แม้เพียรพยายามอย่างสุดกำลัง หากไม่มีความเข้าใจ ซึ่งจะเรียกว่าทุนบุญเก่าค้ำจุนก็ไม่สามารถสำเร็จอรหันต์ได้เลย...
.....ไม่สำเร็จในวันนี้ ก็ถือว่าสร้างบารมีไปเรื่อยๆ ตั้งสัจจะอธิษฐานดีๆ
บุคคล ๔ จำพวกนี้แล เป็นผู้ประทุษร้ายบริษัท ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ทำบริษัทให้งาม ๔ จำพวกนี้ ๔ จำพวกเป็นไฉน
คือ
• ภิกษุผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ชื่อว่าผู้ทำบริษัทให้งาม
• ภิกษุณีผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ชื่อว่าผู้ทำบริษัทให้งาม (หลังจากเสด็จปรินิพาน ไม่มีการบวชที่ถูกต้องแล้ว)
• อุบาสกผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ชื่อว่าผู้ทำบริษัทให้งาม
• อุบาสิกาผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ชื่อว่าผู้ทำบริษัทให้งาม
ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ทำบริษัทให้งาม ๔ จำพวกนี้แล ฯ
เราทั้งหลายเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ครอบงำแล้ว มีทุกข์ประจำแล้ว ควรรู้ว่าผู้ใดสิ่งใดเป็นข้อห้าม สิ่งใดเป็นหัวใจของคนพุทธ ศาสนาที่มีคนทำตามไปทั่วโลกแต่ตามอย่างรู้จริงหรือตามแต่ลีลาเงาพุทธ
นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวกว่ามากนัก
ยิ่งนานยิ่งไร้แก่น มากพิธีไม่ผิดแต่พิธีที่มีนัยยะสอนกลับหายไป
เวลาเปลี่ยนไป เรื่องภิกษุสาวกในธรรมวินัย สมัยพุทธกาล
ก็ยังมีนอกเเนวก็มี ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า ไม่ขยันศึกษาก็พอมี
เพราะยิ่งสมัยนั้น ทุกคนที่จะเข้ามาเเอบบวชบ้าง มาขอบวชเพราะศรัทธามีอยู่
เเต่ทุกคนต่างมีจาก ผู้ที่มีศรัทธาอื่น ลัทธิอื่น เคยเชื่อในปริพาชก เดียรถีย์เหล่าอื่นมาก่อน ต้องมีปัญญาเห็นทางส่วนเเละศรัทธานำจริงๆ จึงจะสำเร็จ เเละเสร็จกิจที่ควรจะทำ
กุลบุตรเข้ามาบวชในสมัยก่อน มาเพื่ออยากบวช เสื่อมใสศรัทธาต่อ พระพุทธเจ้า หรือ เห็นประโยชน์ของการบวช เพื่อเป็นไปในทางสงบ
เเต่สมัยนี้ มีหลายความจำเป็น เพื่อการเข้าบวช ถูกคิดขึ้นมาเองอันนี้หน้าห่วง กล่าวพูด กล้ายอมรับกันไหมว่า ผู้เข้ามาบวช ไม่ได้มีอยากมาเพื่อ เห็นโอกาสสว่าง ทางไปสู่การบรรลุธรรม
การบวชเป็นพระ....ต้องช่วยเหลือตนเองแทบทั้งหมด...
หากพิการยิ่งทำให้ตนเองลำบาก...ก็จะเป็นภาระ ทั้งต่อตนเองและพระอื่นๆ..หากตกอยู่ในข้อห้ามตามพระสูตรจะทุรนทุรายไปก็ยิ่งไม่ใช่ผู้ที่รู้จักพุทธะ ยิ่งไม่ใช่ผู้พร้อมบวชในทุกประการ แล้วบรรลุธรรมได้ไหม..ประเด็นนี้.ต้องทำความเข้าใจใหม่ทั้งหมด....
...การบรรลุเป็นพระอรหันต์....ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีทีทำมาทั้งหมด..มิใช่แค่เมื่อวานมาวันนี้....ปัจจุบัน..แม้เพียรพยายามอย่างสุดกำลัง หากไม่มีความเข้าใจ ซึ่งจะเรียกว่าทุนบุญเก่าค้ำจุนก็ไม่สามารถสำเร็จอรหันต์ได้เลย...
.....ไม่สำเร็จในวันนี้ ก็ถือว่าสร้างบารมีไปเรื่อยๆ ตั้งสัจจะอธิษฐานดีๆ
บุคคล ๔ จำพวกนี้แล เป็นผู้ประทุษร้ายบริษัท ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ทำบริษัทให้งาม ๔ จำพวกนี้ ๔ จำพวกเป็นไฉน
คือ
• ภิกษุผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ชื่อว่าผู้ทำบริษัทให้งาม
• ภิกษุณีผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ชื่อว่าผู้ทำบริษัทให้งาม (หลังจากเสด็จปรินิพาน ไม่มีการบวชที่ถูกต้องแล้ว)
• อุบาสกผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ชื่อว่าผู้ทำบริษัทให้งาม
• อุบาสิกาผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ชื่อว่าผู้ทำบริษัทให้งาม
ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ทำบริษัทให้งาม ๔ จำพวกนี้แล ฯ
ลักษณะของคนที่บวชในพระพุทธศาสนาไม่ได้
|
ทรงบัญญัติพระวินัยแสดงลักษณะที่ไม่ควรให้บวช
(อุปสมบท) บุคคล รวม ๒๐ ประเภท ดังต่อไปนี้
|
๑. ผู้ที่มีอายุไม่ครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์
(ยกเว้นบวชเป็นสามเณร)
|
๑.
ผู้ไม่มีอุปัชฌายะ
|
๒. อุภโตพยัญชนกะ คือ คนที่มี ๒ เพศ
ได้แก่มีทั้งเพศชายและเพศหญิงในตัว
|
๒.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นสงฆ์ (อุปัชฌายะต้องมีรูปเดียว ไม่ใช่มากรูป)
|
๓. ภิกขุณีทูสกะ คือ
คนที่เป็นผู้ทำร้ายนางภิกษุณี
|
๓.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นคณะ (๒,๓ ชื่อว่าเป็นคณะ, ๔
ขึ้นไปเป็นสงฆ์)
|
๔. เถยยสังวาสกะ คือ คนที่ลักเพศ ได้แก่
คนที่เพศภิกษุเอาเอง
|
๔.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นกะเทย
|
๕. ติตถิยปักกันตกะ คือ
ภิกษุผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์
|
๕.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นคนลักเพศ (ผู้บวชเอาเอง)
|
๖. มาตุฆาตกะ คือ ผู้ฆ่ามารดา
|
๖.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้เข้ารีตเดียรถีย์
|
๗. ปิตุฆาตกะ คือ ผู้ฆ่าบิดา
|
๗.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นสัตว์ดิรัจฉาน (มีเรื่องเล่าว่า นาคปลอมมาบวช)
|
๘. อรหันตฆาตกะ คือ ผู้ฆ่าพระอรหันต์
|
๘.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้ฆ่ามารดา
|
๙. โลหิตุปปาทกะ คือ
ผู้ทำร้ายพระพุทธเจ้าแม้เพียงทำพระโลหิตให้ห้อขึ้น (ห้อเลือด)
|
๙.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้ฆ่าบิดา
|
๑๐. สังฆเภทกะ คือ ภิกษุผู้ทำให้สงฆ์แตกกัน
|
๑๐.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์
|
๑๑. เป็นบัณเฑาะก์ คือ เป็นกระเทย
|
๑๑.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้ข่มขืนนางภิกษุณี
|
๑๒. ภิกษุผู้ต้องปาราชิก
แล้วต้องการกลับมาบวชใหม่
|
๑๒.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน
|
บวชให้แล้วต้องให้สึก
|
๑๓.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้ประทุษร้ายพระพุทธเจ้า จนถึงยังพระโลหิตให้ห้อ
|
๑๔. ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้มีอวัยะ
๒ เพศ
|
|
๑๕. ผู้ไม่มีบาตร
|
|
๑๖. ผู้ไม่มีจีวร
|
|
๑๗.
ผู้ไม่มีทั้งบาตรทั้งจีวร
|
|
๑๘.
ผู้ขอยืมบาตรเขามาบวช
|
|
๑๙.
ผู้ขอยืมจีวรเขามาบวช
|
|
๒๐.
ผู้ขอยืมทั้งบาตรทั้งจีวรเขามาบวช
|
ตามวิธีการบวช
ผู้ที่จะบวชเป็นพระจะต้องผ่านลำดับจากการเป็นสามเณรมาก่อนแม้ชั่วครู่หนึ่ง.
การตั้งข้อกำหนดนี้
เพื่อมิให้พระพุทธศาสนาเป็นเหมือนถังขยะรับคนที่ทางโลกไม่ต้องการแล้ว. (แต่ก็ไม่มีข้อห้ามเด็ดขาดถึงขนาดว่า บวชให้แล้วต้องให้สึกไปเหมือนบุคคล ๑๑
ประเภทที่กล่าวไว้ในข้อห้ามบวชเด็ดขาด).
ลักษณะที่ไม่ควรให้บรรพชา (เป็นสามเณร) ๓๒
ประเภท
๑. คนมีมือขาด ๒.
คนมีเท้าขาด
๓. คนมีทั้งมือทั้งเท้าขาด ๔. คนมีหูขาด
๕. คนมีจมูกแหว่ง ๖. คนมีทั้งหูขาดทั้งจมูกแหว่ง
๗. คนมีนิ้วมือขาด ๘.
คนมีนิ้วหัวแม่มือขาด
๙. คนมีเอ็น (เท้า) ขาด ๑๐.
คนมีมือเป็นแผ่น (นิ้วติดกัน)
๑๑. คนค่อม
๑๒.
คนเตี้ย (เกินไป)
๑๓. คนคอพอก ๑๔.
คนถูกนาบด้วยเหล็กแดงจนเสีย
โฉม (จากการลงโทษ)
๑๕. คนถูกโบยถูกแส้ (มีรอยแผล) ๑๖. คนถูกหมายจับ (ให้ฆ่าได้เมื่อพบ)
๑๗. คนมีเท้าปุก (เป็นตุ้ม)
๑๘. คนเป็นโรคอันเป็นโทษแห่งบาป
(โรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย)
๑๙. คนประทุษร้ายบริษัท
(คืออยู่ในหมู่แล้วทำให้หมู่ดูวิปริต ด้วยรูปร่างอันผิดปกติของตน เช่น สูง เกินไป เตี้ยเกินไป ดำเกินไป ขาวเกินไป
ผอมเกินไป อ้วนเกินไป เป็นต้น)
๒๐. คนตาบอดข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง ๒๑. คนเป็นง่อย
๒๒. คนกระจอก (เท้าผิดปกติ
ต้องเดินด้วยหลังเท้า เป็นต้น)
๒๓. คนเป็นอัมพาต (ร่างกายตายไปซีกหนึ่ง)
๒๔. คนเปลี้ย (เดินเองไม่ได้) ๒๕. คนชรา ทุพพลภาพ
๒๖. คนตาบอดแต่กำเนิด ๒๗. คนใบ้
๒๘. คนหูหนวก ๒๙.
คนทั้งบอดทั้งใบ้
๓๐. คนทั้งบอดทั้งหนวก ๓๑.
คนทั้งใบ้ทั้งหนวก
๓๒. คนทั้งบอดทั้งใบ้ทั้งหนวก
บุคคลทั้งสามสิบสองประเภทนี้
ผู้บรรพชาให้ ต้องอาบัติทุกกฎ.
(หมายเหตุ : การกำหนดข้อห้ามไม่ให้บวชคน
๓๒ ประเภทนี้เป็นสามเณรนั้นเป็นอันห้ามสำหรับบวชเป็นพระด้วย เพราะตามวิธีการบวช
ผู้ที่จะบวชเป็นพระจะต้องผ่านลำดับจากการเป็นสามเณรมาก่อนแม้ชั่วครู่หนึ่ง.
การตั้งข้อกำหนดนี้ เพื่อมิให้พระพุทธศาสนาเป็นเหมือนถังขยะรับคนที่ทางโลกไม่ต้องการแล้ว.
แต่ก็ไม่มีข้อห้ามเด็ดขาดถึงขนาดว่า บวชให้แล้วต้องให้สึกไปเหมือนบุคคล ๑๑
ประเภทที่กล่าวไว้ในข้อห้ามบวชเด็ดขาด).
อย่าได้ให้มันจบลงสำหรับคำว่า ศาสนาพุทธ เเล้วก็อยู่กันตามยถากรรม
นักบวชอยากทำอะไร ผิดไม่ต้องเคารพ ไม่ต้องยึดกฎหมายของสงฆ์ ต้องเป็น
พระธรรมวินัยเท่านั้น
สมัย พระพุทธเจ้า ผู้เข้ามาบวช เป็นเเบบนี้
ไม่มีจากวิธีอื่น...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
๒๓ มิถุนายน ครบวัฎฎะ
ดาวดารดาษดุจมณิเต็มผืนกำมะหยี่เหนือโพยมสีหมึก สีตลรัศมีที่ฉายเรื่อยอ่อนแสงหายไปหลังเมฆินทร์ เบื้องล่างสายนทีลัดเลาะแผ่นหิน ทุกโค้งคุ้งส...
-
นิทาน grime ฉบับเดิม โหดสัส ตัดใจไม่ให้ลูกอ่านแต่ขออ่านเอง ๕๕ เรื่องของเรื่องคือที่มาของนิทานเป็นเรื่องที่เล่าปากต่อปาก แพร่หลายอย...
-
มิดเดิลเอิธเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เรียกว่าอาร์ดา(โลก) บางตำราก็บอกว่าอาร์ดาเป็นระบบดาว โดยทางเหนือของมิดเดิลเอิธคืออังมาร์ของราชาภูต ...