เราทั้งหลายเป็นผู้อันชาติ ชรา มรณะ โสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ครอบงำแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ครอบงำแล้ว มีทุกข์ประจำแล้ว ควรรู้ว่าผู้ใดสิ่งใดเป็นข้อห้าม สิ่งใดเป็นหัวใจของคนพุทธ ศาสนาที่มีคนทำตามไปทั่วโลกแต่ตามอย่างรู้จริงหรือตามแต่ลีลาเงาพุทธ
นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวกว่ามากนัก
ยิ่งนานยิ่งไร้แก่น มากพิธีไม่ผิดแต่พิธีที่มีนัยยะสอนกลับหายไป
เวลาเปลี่ยนไป เรื่องภิกษุสาวกในธรรมวินัย สมัยพุทธกาล
ก็ยังมีนอกเเนวก็มี ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้า ไม่ขยันศึกษาก็พอมี
เพราะยิ่งสมัยนั้น ทุกคนที่จะเข้ามาเเอบบวชบ้าง มาขอบวชเพราะศรัทธามีอยู่
เเต่ทุกคนต่างมีจาก ผู้ที่มีศรัทธาอื่น ลัทธิอื่น เคยเชื่อในปริพาชก เดียรถีย์เหล่าอื่นมาก่อน ต้องมีปัญญาเห็นทางส่วนเเละศรัทธานำจริงๆ จึงจะสำเร็จ เเละเสร็จกิจที่ควรจะทำ
กุลบุตรเข้ามาบวชในสมัยก่อน มาเพื่ออยากบวช เสื่อมใสศรัทธาต่อ พระพุทธเจ้า หรือ เห็นประโยชน์ของการบวช เพื่อเป็นไปในทางสงบ
เเต่สมัยนี้ มีหลายความจำเป็น เพื่อการเข้าบวช ถูกคิดขึ้นมาเองอันนี้หน้าห่วง กล่าวพูด กล้ายอมรับกันไหมว่า ผู้เข้ามาบวช ไม่ได้มีอยากมาเพื่อ เห็นโอกาสสว่าง ทางไปสู่การบรรลุธรรม
การบวชเป็นพระ....ต้องช่วยเหลือตนเองแทบทั้งหมด...
หากพิการยิ่งทำให้ตนเองลำบาก...ก็จะเป็นภาระ ทั้งต่อตนเองและพระอื่นๆ..หากตกอยู่ในข้อห้ามตามพระสูตรจะทุรนทุรายไปก็ยิ่งไม่ใช่ผู้ที่รู้จักพุทธะ ยิ่งไม่ใช่ผู้พร้อมบวชในทุกประการ แล้วบรรลุธรรมได้ไหม..ประเด็นนี้.ต้องทำความเข้าใจใหม่ทั้งหมด....
...การบรรลุเป็นพระอรหันต์....ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีทีทำมาทั้งหมด..มิใช่แค่เมื่อวานมาวันนี้....ปัจจุบัน..แม้เพียรพยายามอย่างสุดกำลัง หากไม่มีความเข้าใจ ซึ่งจะเรียกว่าทุนบุญเก่าค้ำจุนก็ไม่สามารถสำเร็จอรหันต์ได้เลย...
.....ไม่สำเร็จในวันนี้ ก็ถือว่าสร้างบารมีไปเรื่อยๆ ตั้งสัจจะอธิษฐานดีๆ
บุคคล ๔ จำพวกนี้แล เป็นผู้ประทุษร้ายบริษัท ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ทำบริษัทให้งาม ๔ จำพวกนี้ ๔ จำพวกเป็นไฉน
คือ
• ภิกษุผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ชื่อว่าผู้ทำบริษัทให้งาม
• ภิกษุณีผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ชื่อว่าผู้ทำบริษัทให้งาม (หลังจากเสด็จปรินิพาน ไม่มีการบวชที่ถูกต้องแล้ว)
• อุบาสกผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ชื่อว่าผู้ทำบริษัทให้งาม
• อุบาสิกาผู้มีศีล มีธรรมอันงาม ชื่อว่าผู้ทำบริษัทให้งาม
ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ทำบริษัทให้งาม ๔ จำพวกนี้แล ฯ
ลักษณะของคนที่บวชในพระพุทธศาสนาไม่ได้
|
ทรงบัญญัติพระวินัยแสดงลักษณะที่ไม่ควรให้บวช
(อุปสมบท) บุคคล รวม ๒๐ ประเภท ดังต่อไปนี้
|
๑. ผู้ที่มีอายุไม่ครบ ๒๐ ปี บริบูรณ์
(ยกเว้นบวชเป็นสามเณร)
|
๑.
ผู้ไม่มีอุปัชฌายะ
|
๒. อุภโตพยัญชนกะ คือ คนที่มี ๒ เพศ
ได้แก่มีทั้งเพศชายและเพศหญิงในตัว
|
๒.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นสงฆ์ (อุปัชฌายะต้องมีรูปเดียว ไม่ใช่มากรูป)
|
๓. ภิกขุณีทูสกะ คือ
คนที่เป็นผู้ทำร้ายนางภิกษุณี
|
๓.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นคณะ (๒,๓ ชื่อว่าเป็นคณะ, ๔
ขึ้นไปเป็นสงฆ์)
|
๔. เถยยสังวาสกะ คือ คนที่ลักเพศ ได้แก่
คนที่เพศภิกษุเอาเอง
|
๔.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นกะเทย
|
๕. ติตถิยปักกันตกะ คือ
ภิกษุผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์
|
๕.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นคนลักเพศ (ผู้บวชเอาเอง)
|
๖. มาตุฆาตกะ คือ ผู้ฆ่ามารดา
|
๖.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้เข้ารีตเดียรถีย์
|
๗. ปิตุฆาตกะ คือ ผู้ฆ่าบิดา
|
๗.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นสัตว์ดิรัจฉาน (มีเรื่องเล่าว่า นาคปลอมมาบวช)
|
๘. อรหันตฆาตกะ คือ ผู้ฆ่าพระอรหันต์
|
๘.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้ฆ่ามารดา
|
๙. โลหิตุปปาทกะ คือ
ผู้ทำร้ายพระพุทธเจ้าแม้เพียงทำพระโลหิตให้ห้อขึ้น (ห้อเลือด)
|
๙.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้ฆ่าบิดา
|
๑๐. สังฆเภทกะ คือ ภิกษุผู้ทำให้สงฆ์แตกกัน
|
๑๐.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์
|
๑๑. เป็นบัณเฑาะก์ คือ เป็นกระเทย
|
๑๑.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้ข่มขืนนางภิกษุณี
|
๑๒. ภิกษุผู้ต้องปาราชิก
แล้วต้องการกลับมาบวชใหม่
|
๑๒.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน
|
บวชให้แล้วต้องให้สึก
|
๑๓.
ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้ประทุษร้ายพระพุทธเจ้า จนถึงยังพระโลหิตให้ห้อ
|
๑๔. ผู้มีอุปัชฌายะเป็นผู้มีอวัยะ
๒ เพศ
|
|
๑๕. ผู้ไม่มีบาตร
|
|
๑๖. ผู้ไม่มีจีวร
|
|
๑๗.
ผู้ไม่มีทั้งบาตรทั้งจีวร
|
|
๑๘.
ผู้ขอยืมบาตรเขามาบวช
|
|
๑๙.
ผู้ขอยืมจีวรเขามาบวช
|
|
๒๐.
ผู้ขอยืมทั้งบาตรทั้งจีวรเขามาบวช
|
ตามวิธีการบวช
ผู้ที่จะบวชเป็นพระจะต้องผ่านลำดับจากการเป็นสามเณรมาก่อนแม้ชั่วครู่หนึ่ง.
การตั้งข้อกำหนดนี้
เพื่อมิให้พระพุทธศาสนาเป็นเหมือนถังขยะรับคนที่ทางโลกไม่ต้องการแล้ว. (แต่ก็ไม่มีข้อห้ามเด็ดขาดถึงขนาดว่า บวชให้แล้วต้องให้สึกไปเหมือนบุคคล ๑๑
ประเภทที่กล่าวไว้ในข้อห้ามบวชเด็ดขาด).
ลักษณะที่ไม่ควรให้บรรพชา (เป็นสามเณร) ๓๒
ประเภท
๑. คนมีมือขาด ๒.
คนมีเท้าขาด
๓. คนมีทั้งมือทั้งเท้าขาด ๔. คนมีหูขาด
๕. คนมีจมูกแหว่ง ๖. คนมีทั้งหูขาดทั้งจมูกแหว่ง
๗. คนมีนิ้วมือขาด ๘.
คนมีนิ้วหัวแม่มือขาด
๙. คนมีเอ็น (เท้า) ขาด ๑๐.
คนมีมือเป็นแผ่น (นิ้วติดกัน)
๑๑. คนค่อม
๑๒.
คนเตี้ย (เกินไป)
๑๓. คนคอพอก ๑๔.
คนถูกนาบด้วยเหล็กแดงจนเสีย
โฉม (จากการลงโทษ)
๑๕. คนถูกโบยถูกแส้ (มีรอยแผล) ๑๖. คนถูกหมายจับ (ให้ฆ่าได้เมื่อพบ)
๑๗. คนมีเท้าปุก (เป็นตุ้ม)
๑๘. คนเป็นโรคอันเป็นโทษแห่งบาป
(โรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย)
๑๙. คนประทุษร้ายบริษัท
(คืออยู่ในหมู่แล้วทำให้หมู่ดูวิปริต ด้วยรูปร่างอันผิดปกติของตน เช่น สูง เกินไป เตี้ยเกินไป ดำเกินไป ขาวเกินไป
ผอมเกินไป อ้วนเกินไป เป็นต้น)
๒๐. คนตาบอดข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง ๒๑. คนเป็นง่อย
๒๒. คนกระจอก (เท้าผิดปกติ
ต้องเดินด้วยหลังเท้า เป็นต้น)
๒๓. คนเป็นอัมพาต (ร่างกายตายไปซีกหนึ่ง)
๒๔. คนเปลี้ย (เดินเองไม่ได้) ๒๕. คนชรา ทุพพลภาพ
๒๖. คนตาบอดแต่กำเนิด ๒๗. คนใบ้
๒๘. คนหูหนวก ๒๙.
คนทั้งบอดทั้งใบ้
๓๐. คนทั้งบอดทั้งหนวก ๓๑.
คนทั้งใบ้ทั้งหนวก
๓๒. คนทั้งบอดทั้งใบ้ทั้งหนวก
บุคคลทั้งสามสิบสองประเภทนี้
ผู้บรรพชาให้ ต้องอาบัติทุกกฎ.
(หมายเหตุ : การกำหนดข้อห้ามไม่ให้บวชคน
๓๒ ประเภทนี้เป็นสามเณรนั้นเป็นอันห้ามสำหรับบวชเป็นพระด้วย เพราะตามวิธีการบวช
ผู้ที่จะบวชเป็นพระจะต้องผ่านลำดับจากการเป็นสามเณรมาก่อนแม้ชั่วครู่หนึ่ง.
การตั้งข้อกำหนดนี้ เพื่อมิให้พระพุทธศาสนาเป็นเหมือนถังขยะรับคนที่ทางโลกไม่ต้องการแล้ว.
แต่ก็ไม่มีข้อห้ามเด็ดขาดถึงขนาดว่า บวชให้แล้วต้องให้สึกไปเหมือนบุคคล ๑๑
ประเภทที่กล่าวไว้ในข้อห้ามบวชเด็ดขาด).
อย่าได้ให้มันจบลงสำหรับคำว่า ศาสนาพุทธ เเล้วก็อยู่กันตามยถากรรม
นักบวชอยากทำอะไร ผิดไม่ต้องเคารพ ไม่ต้องยึดกฎหมายของสงฆ์ ต้องเป็น
พระธรรมวินัยเท่านั้น
สมัย พระพุทธเจ้า ผู้เข้ามาบวช เป็นเเบบนี้
ไม่มีจากวิธีอื่น...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น