วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สีสันบนหน้า story telling วัฒนธรรม สี กับ การแสดง

https://www.facebook.com/RatiSilver
สืบเนื่องจากงานตรุษจีนประเทศไทยแท้ๆเลย
งานนี้เป็นการสานสัมพันธ์ไทยจีนผ่านการเดินทางแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ซึ่งผลจากการโชว์ มีการแพร่ภาพกลับไปที่จีน คนจีนเริ่มสนใจมาเที่ยวและ ช้อปปิ้ง จะว่าไป บางร้านนี่หมดเลยนะ แค่นักแสดงก็กวาดเรียบ
กลับมาที่มีการแสดงอุปรากร ซึ่งก็มีการแต่งตาตามสไตล์จีน ที่น่าจ้องเอาจริงๆจังๆ เพราะในใจเราคิดว่า ลายที่ปรากฏต้องบอกเป้าหมายที่ระบายผ่านสี ก็เหมือนกับการทาหน้า ใส่หน้ากากไทยล่ะ ว่าไปหน้ากากมีเรื่องเล่าทั้งโลก เพราะเขาต้องกำลังจะบอกอะไรซักอย่างแน่ๆ และพบว่าโลกนี้มีวัฒนธรรมหน้ากากและระบายสีหน้าไปทั่วโลก สืบมาทางชุมชน พิธีกรรม แลอื่นๆ
จากหน้ากาก หัวโขน มาถึงระบายสีหน้าละครโนห์ และงิ้ว ประเทศไหนหลงเข้ามาเมืองไทย เราเป็นใช้จุดน่าสนใจของเขามาอยู่ในการละเล่นหรือ หรือ คำเปรียบเทียบ ไปถึงพังเพย อย่างยิบย่อยเลยทีเดียว นี่เป็น ไท๊ยไทย ที่ ฝังในสันดาน จนลืมตัวกันหลายคน แม้จะไปชุบตัวหรือสเปรย์ฉาบมาฟุดฟิด มันก็แพลมๆออกมาภายใต้เสื้อสูทหนังกลับ เอ๊ยหนังฟอกล่ะจ้ะ
ในวงการแสดง ตามธรรมเนียมการแสดง ต้องมี อารัมภบท หรือ หน้าม่าน เพื่อเรียกเเขก เล่าเรื่องที่มา หรือ บางที จะเห็นเป็นป้ายบอกองก์ที่จะเกิดขึ้น ของเราจะเริ่ม แบบ อินโทร บอดี้ ไคลซแมกส์ ซึ่ง คือ ออกแขก ออกโรง ออกยักษ์ออกโขน ออกงิ้ว เป็นเรื่องครบรส พี่ไทยจับเพื่อน แขก และ จีน (งิ้ว) เอามาใส่ในความหมายต่างกัน น่าจะดูจาก เอกลักษณะการแสดงออกแบบรวบยอด เช่นว่า ถ้า ออกแขก  จะพบการใช้กับการเริ่มแสดงลิเก  ที่จะมาบอกว่า มาจ๊ะเชิญมาจะเริ่มเล่นละ คนแสดงต้องร้องเพลงเป็นเอกลักษณ์ทำนองแขก แต่งตัวเป็นหนุ่มหรือแก่แขก(ใครบอกทีว่าต้องหนุ่มหรือแก่) แล้วมีโพกผ้า  หรือสวมหมวกหนีบแบบแขก  และร้องเพลง  ลงท้ายว่าอันเลวังกา  เร่เข้ามา  มาดูลิเก  เฮเอาเป็นว่ารู้ว่าร้องแบบนี้ เรียกว่า.ออกแขก 
พอขับออกแขก จะมีตัวชูรส แล้วก็ตัวชูโรง  ห้วงนี้เรียกว่า ออกโรง เป็นช่วงเน้นมีความเข้มข้น ใครแสดงช่วงนี้ แสดงว่าเด่น สำคัญ แต่ ออกโรงมีความหมาย  ว่าออกมาช่วยเหลือ  (ตอนแรกจะไม่ออกหน้า พอถึงเวลาสำคัญ จะเป็นผู้กล้ามาช่วยเหลือ ) อีกนัยนึง ออกโรงไม่ค่อยจะดี เช่น เวลาใครมาพูดว่าแหม  ออกโรงมาช่วยเหลือเชียวนะ ให้ความรู้สึกว่ามาปกป้องพวกพ้อง
ส่วนอากัปกิริยา ที่ออกยักษ์  ออกโขน  หมายถึง  อากัปกิริยา  ที่เสียงดังแบบเล่นโขนตอนที่ยักษ์  ในโขนเรื่องรามเกียรติ์จะออกมาแสดง  เสียงจะดังมาก  เพราะยักษ์  มีอิทธิฤทธิ์   ใช้เปรียบเทียบ  เวลาที่คนมีอารมณ์โกรธ  ก็จะแสดงออกยักษ์ออกโขนเสียงดังออกมาให้คนอื่นได้รู้ว่า.โกรธมาก ออกยักษ์ออกโขน  .มีความหมายค่อนข้างติดลบ  ที่ทำอะไรวางอำนาจเหมือนพวกยักษ์  ที่คิดแต่จะข่มเหงมนุษย์(แต่ทศกัณฑ์ ทำไมน่ารัก) 

ส่วนคำสุดท้าย  ก็ ออกงิ้ว  งิ้ว  เป็นศิลปะการแสดงของชาวจีน  เสียงจะดังมาก  จึงใช้เปรียบเทียบเวลาที่คนมีปากเสียงกัน  เสียงดังมาก ไม่รู้เรื่องไม่มีใครฟังใคร 
จากหน้า ที่ระบายสี ตามลักษณะไทย โขน ญี่ปุ่น โนห์ จีน งิ้ว
ลองดูที่งิ้วเพราะง่ายสุด ให้หน้าหนึ่งๆ สามารถมีสีอื่นผสมผสานอยู่ด้วยกัน ก็จะแสดงให้เห็นถึงลักษณะนิสัยว่าเป็นคนอย่างไรบ้าง แต่จะมีสีหลักๆ ที่แสดงถึงจุดเด่นของตัวแสดง
สีแดง    ความจงรักภักดีซื่อสัตย์และกล้าหาญ เช่น กวนอู
สีดำ   ความฉลาดเฉลียว และ  ซื่อตรงมากๆ เช่น เปาบุ้นจิ้นสีน้ำเงิน คนที่แข็งกร้าว และเจ้าเล่ห์แสนกล สีเขียว ผู้กล้าเป็นวีรบุรุษ ลักษณะคนที่มีความหนักแน่นสีเหลือง หมายถึง   คนที่มีอารมณ์รุนแรง สีขาว โดยสีขาว มักจะหมายถึงคนชั่วร้าย ทรยศหักหลัง และขี้ระแวง เช่น โจโฉสีเงิน   สีทอง เทพเจ้า หรือผู้มีบทบาทของเทพที่แปลกพิสดาร เช่น ซุนหงอคง
สีแดง  หมายถึง หญิงสาว สีฟ้าอ่อน   หมายถึง อารมณ์หุนหันพลันแล่น สีน้ำเงินเข้ม  หมายถึง คนที่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สีเขียวอ่อน       หมายถึง ข้าทาส, บริวาร  สีน้ำตาล    หมายถึง คนรับใช้ หรือชาวไร่ชาวนา
ขอบคุณที่มา ค้น จาก วัฒนธรรมญี่ปุ่น ละคร อุปรากร หน้ากาก งิ้ว


ญี่ปุ่นใช้หน้ากากมาอย่างยาวนาน โดยมีจุดประสงค์ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้สำหรับพิธีกรรมทางศาสนา พิธีกรรมตามความเชื่อของท้องถิ่น ได้แก่พิธีกรรมเพื่อการรักษาคนป่วย หรือ พิธีกรรมการเผาศพโดยหน้ากากญี่ปุ่นก็จะมีลักษณะ ประเภท ความหมาย และความเป็นมาที่แตกต่างกันออกไป บางส่วนนั้นมีพัฒนาการมาจากความเชื่อที่สืบต่อกันมา อันได้แก่ความเชื่อในสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ
 ส่วนละครโนห์ มาจากความพยายามสร้างศิลปะต่างๆ ที่แสดงเอกลักษณ์ของเหล่านักรบ โชกุน ขึ้นมาและหนึ่งในศิลปะที่ว่านั้นก็คือ  โนห์ เดิมเป็นการแสดงพื้นเมืองที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีทางศาสนา มีการกล่าวไว้ว่า วันหนึ่งนักแสดงโนห์ ได้ถูกเชิญให้ไปแสดงถวาย ต่อโชกุน หลังจากดูจบ โชกุนประทับใจในการแสดงมาก จึงให้การสนับสนุน ตั้งแต่นั้นมา
ผู้ที่ให้กำเนิด โนห์ ก็คือ คันอะมิ และต่อมาลูกชายของเขา คือ เซะอะมิ ลักษณะพิเศษ ของละครโนห์ ก็คือ หน้ากาก ตัวละครเอก จะสวมหน้ากากซึ่งแกะสลักจากไม้อยู่ตลอดเวลา และไม่เปิดเผยใบหน้าจริงโดยเด็ดขาด
หน้ากากโนห์ จะใช้สีเลียนแบบความหมายที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อ และ ใช้จริง เช่น คน หญิง จะขาว คนแก่สีคล้ำ ปีศาจสีเข้าจนถึงปีศาจสีฟ้าตามตำนาน ดังนั้น บนหน้ากากจะแสดงให้เห็นถึง เพศ อายุ ประเภทของตัวละคร และสีหน้าของตัวละครซึ่งอาจจะเป็น หน้ากากปีศาจ ชายหนุ่ม หญิงสาว ชายแก่ หญิงแก่ ตามแต่เนื้อเรื่องส่วนตัวละครตัวรองจะไม่ใส่หน้ากาก จึงจำเป็นต้องใช้ชุดบอกบอกสถานะของตัวละคร เช่น สีขาว  หมายถึง ชนชั้นสูง
ต่อมาละครโนห์ รับการยกย่องขึ้นสู่ชนชั้นสูง ก็น่าจะเมื่อโชกุนครองอำนาจใหญ่กว่า จักรพรรดิ สินะ
ละครโนห์ อาจไม่สามารถเปรียบเทียบว่าเป็น  โขนญี่ปุ่น ความคล้ายกันตรงที่ตัวละครโนห์ใส่หน้ากากเพื่อระบุว่าผู้เล่นนั้น ๆ เป็นตัวละครใด  เหมือนกับโขนที่ใส่หัวโขนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัวละครนั้น ๆ
 แม้จะมีความ ศักดิ์สิทธิ์เน้นสอนปรัชญาขั้นลึกซึ้ง เอาเป็นว่า จะต้องตั้งสติทั้งคนเล่นคนดู ทุกย่างก้าวเลยทีเดียว ส่วนโขนไทยมีรายละเอียด ที่เข้าใจได้ตามอารมณ์ที่ต้องไหลไปตามฉาก และท่วงท่าที่มีความหมาย ไม่ได้ยากเย็นเหมือนบัลเลย์
ละครโนห์จะมีเนื้อเรื่องที่สอนพุทธ โขนซึ่งเน้นเล่นเรื่องรามเกียรติ์แฝงปรัชญา โขนของไทยนิยมเล่นกันในวัง ที่จริงยังมีโขนชัก โขนนอกวังอีก  ส่วนละครโนห์ ก็อย่างที่เล่าข้างต้น 

กลับกัน มีการแสดงอีกชนิดที่มีการระบายสีหน้ากาก เรื่องว่า คาบูกิ นี่เปรียบได้กับลิเก เพราะเน้นเรื่อง สนุก ไม่ยึดอะไรมาก
คาบูกินั้นเกิดขึ้นจากการร้องเพลงร่ายรำพร้อมกับกระดิ่งในพิธีศาสนาของของมิโกะจากศาลเจ้าอิซึโมะ สร้างความแปลกใจให้คนเข้าศาลเจ้า โดยการสวมชุดดำและถือกระดิ่งมีพู่สีแดงสดเต้นและร้องด้วยท่าทีที่แปลกตากว่าปกติ ชาวเมืองโยนเงินลงที่เวทีเป็นจำนวนมากเพื่อบริจาคให้กับศาลเจ้า และการแสดงครั้งนี้จึงถือเป็นต้นกำเนิดคาบูกิ ต่อมามีปัญหานิดหน่อยเรื่องเหมาะไม่เหมาะ การแสดงเลื่อนไหลมีปัญหาสังคม จนมายุติ ที่ให้ผู้ชายที่โตแล้วแสดงได้เท่านั้นแม้แต่บทที่เป็นตัวละครผู้หญิง  
ในขณะที่ละครโนห์มีบทร้องและการเคลื่อนไหวที่ดูสงบ สง่า มีสมาธิ  ละครคาบุกิจะดูจัดจ้าน มีสีสัน จุดเด่นของคาบูกิคือ ผู้แสดงจะไม่ใส่หน้ากากแต่จะแต่งหน้าจัดจ้านมาก เรียกว่ามีความเป็น  ชาวบ้าน  มากกว่า คือ พ่อค้าชาวเมืองทั่วไป  ได้ดูมากกว่า สำหรับละครคาบุกิไม่ใช้หน้ากาก แต่ใช้วิธีแต่งหน้าด้วยสีสันฉูดฉาดแทน

จบ หมดแรง


วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

เหตุผลสำคัญที่ทำให้การตลาดเชิงกิจกรรม แจ้งเกิดและทวีบทบาทในการจัดสรรงบ ประมาณการตลาด

เหตุผลสำคัญ คือการที่สื่อโฆษณาหลักต่างๆ มีราคาแพงขึ้น โฆษณาทางโทรทัศน์ที่มีราคาแพงขยับราคาสูงขึ้นเฉลี่ย 10-15% ทุกปี สื่อวิทยุมีค่ายต่างๆ ทุ่มเงินประมูลเช่าคลื่น เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วสื่อเหล่านี้สามารถเข้าถึงประชาชนได้ใกล้ชิด
จึงมีคนระเเวงวิธีการวัดผล เพื่อหาว่าสื่อเจาะเข้ากลุ่มที่ต้องการหรือไม่ แต่ไม่ค่อยจะสามารถทำได้ชัดเจน ดังนั้นจุดนี้จึงกลายเป็นประเด็นที่ต้องคิดว่า การโฆษณาอย่างไร้ทิศทางหรือไม่ เพราะอาจจะเกิดความสูญเปล่าตามมา เจ้าของสินค้า(product ท่องเที่ยว กิจกรรม ฯ) จึงวางแผนการใช้งบประมาณทางการตลาดเสียใหม่ เพื่อทำให้การใช้เงินทุกบาทเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง แต่ปัญหาของนักการตลาดคือประชาชนบางส่วนอาจจะไม่ใช่ลูกค้าเป้าหมาย การจัดงานแบบมวยวัด หรือเดาสุ่มในสถานะผิดพื้นที่ ผิดเวลา กลุ่มเป้าหมายจึงมีสิทธิเกิดขึ้นได้

·           จากเหตุผลข้างต้นปัจจุบัน กิจกรรมระดับชาติต่างๆ จึงให้ความสนใจหันมาทำการตลาดเชิงกิจกรรมแบบ integrated marketing communication หรือใช้การโฆษณาร่วมกับการทำตลาดแบบถึงตัวลูกค้า ทำให้ททท. / TAT Events เข้าถึงผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้มีหลากหลายเหตุผลที่สินค้าหันมาให้ความสนใจกับการทำตลาดแบบประชิดตัว 
·           ข้อดีของการทำการตลาดเชิงกิจกรรม

·         สามารถจัดกิจกรรมได้ตลอดเวลา หมายถึงกำหนดเองได้ จะเป็นการจัดเฉลิมฉลองในวาระต่างๆ การตลาดเชิงกิจกรรมในปัจจุบันสามารถกระจายการจัดไปตามสถานที่ต่างๆ หลายจุดพร้อมกันได้    ·           การดำเนินการตลาดเชิงกิจกรรมจะสามารถใช้ให้ผลอย่างดียิ่ง ต้องมีความคิด เรื่องศิลปะ ประเพณี วัฒนธรรม แต่ไม่ใช่การแก้วัฒนธรรมแก้ประเพณีดั้งเดิม  หรือรจัดทำขึ้นอย่างผิดๆ เข้าใจกันผิดๆเป็นเรื่องของความสะเพร่า ขาดความเข้าใจ ขาดการศึกษา เอาแต่ฉาบหน้า เป็นบุคลิกคนบางคนที่สะท้อนออกมาแล้วแก้ไขความเสื่อมเสียยากมาก การตลาดเชิงกิจกรรมที่กล้าคิดมากๆแล้วคัดจุดนำเสนอที่ไม่ซ้ำใคร หรือเลือกความเด่นในมุมมองใหม่ อาจเป็นเรื่องเดิมก็ได้ และเสนอผ่านมิติใหม่ เป็นการเสนอเอกลักษณ์ชัดๆแต่วิธีสื่อต่างจากเดิม มีประโยชน์มีหลายประการ ควบคู่ไปกับการทำโปรโมชั่น ที่เหมาะสม จึงจะตอบโจทย์ และใช้ประโยชน์จากการสื่อสารมวลชนได้ เมื่อ
1.     กิจกรรมนั้นต้องน่าสนใจ จึงเป็นจุดให้สื่ออยากนำเสนอ (บางยุคต้องใส่เงินด้วยจะน่าสนใจได้)
2.    เกิดการเผยแพร่ในสื่อต่างๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
3.    ทำให้ได้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายชัดเจน
o    กลยุทธ์นี้นอกจากสื่อมวลชนจะเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ฟรีแล้ว ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้ดีอีกด้วย หากเชิญสื่อมวลชนไปเยี่ยมชมงานหรือโรงงานหรือกิจกรรม
·           กิจกรรมที่จัดอย่างต่อเนื่องย่อมช่วยสร้าง บุคลิกภาพของหน่วยงาน องค์กร=ททท. / TAT Events ” (Brand Personality)"
·           การตลาดเชิงกิจกรรมเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ได้ผลทั้งในด้านการสร้างการรับรู้ของททท. / TAT Events และการสร้างยอดการเดินทาง ยอดรายได้ ยอดการรับรู้ หากมีการจัดการส่งเสริมการขายพร้อมกันด้วย จึงเป็นการใช้งบประมาณด้านการตลาดที่ได้ผลกว่าการทำประชาสัมพันธ์ หรือการโฆษณา ทั้งนี้ มีปัจจัยประกอบคือ
o       1. กิจกรรมที่เลือกจัด ต้องมีลักษณะสอดคล้องกับบุคลิกภาพของททท. / TAT Events
o       2. ชื่อของกิจกรรมที่จัด ต้องมีชื่อของททท. / TAT Events ร่วมอยู่ด้วย
o       3. เครื่องหมายและสัญลักษณ์ของกิจกรรม ต้องมีโลโก้ของททท. / TAT Events ร่วมอยู่ด้วย
o       4. ต้องมีป้ายหรือโลโก้ของททท. / TAT Events ในบริเวณงานอย่างทั่วถึง
o       5. ควรมีสัญลักษณ์ประจำงาน (Mascot) เพื่อสร้างความสะดุดตา คึกคัก เป็นที่น่าสนใจ
o       6. ควรเชิญสื่อมวลชนมาร่วมงานมากๆ
o       7. ต้องมีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ อย่างเพียงพอ ทั้งก่อนและหลังการจัดกิจกรรม
o       8. ควรเชิญผู้มีชื่อเสียงหรือผู้ที่สังคมส่วนใหญ่รู้จักมาร่วมกิจกรรมในงาน เช่น ดารา นักร้อง นักกีฬา ที่มีชื่อเสียง
o       9. ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือการสื่อสารการตลาดอื่นๆ
·         
·           อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การตลาดเชิงกิจกรรมได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากการที่ลูกค้าหรือผู้บริโภคในปัจจุบันมีความแตกต่างกันมากขึ้น ทั้งในรสนิยม กิจกรรม รวมถึงวิธีการรับสื่อ ทำให้ลูกค้าแต่ละกลุ่มต่างมีความต้องการหรือพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไปมากขึ้น อีเว้นท์หรือกิจกรรมจึงเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้แทน

การมีส่วนร่วม ทัศนคติ น่าจะนำมาใช้ในการวิเคราะห์การตัดสินใจซื้อ ความภักดีต่อททท. / TAT Events ของผู้บริโภค ที่มีต่อสินค้าความเกี่ยวพันสูงและสินค้าความเกี่ยวพันต่ำ ที่มีการจัดการตลาดเชิงกิจกรรม

·      การมีส่วนร่วมกับการตลาดเชิงกิจกรรม มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภค
(ดังนั้น ห้ามลืมเด็ดขาดคือความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของงานที่จัดขึ้น การสร้างความรู้สึกนี้เกิดขึ้นได้ โดยคนที่จัดต้องมีความรู้ด้านนี้จริง ไม่ใช่จ้างออการ์ไนซ์มา หรือ พิมพ์คำว่าส่วนร่วมแปะทางเดิน)

·         
·           หากแต่การทำการตลาดเชิงกิจกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดไม่ใช่เพียงความเหมาะสมหรือสอดคล้องกับรสนิยมหรือความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และตรงกับเรื่องที่ต้องการสื่อออกไปเท่านั้น





การจัดการตลาดเชิงกิจกรรมจึงต้องมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนด้วย 
มีความจำเป็นจะต้องวางกลยุทธ์ให้ดีเพื่อให้สามารถสร้างประโยชน์กลับมาในเชิงการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด มากกว่าจัดให้จบๆ (ซึ่งอาจจะเป็นวัตถุประสงค์หนึ่งก็ได้)
·         
·           การใช้การตลาดเชิงกิจกรรมเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้านับวันจะแพร่หลาย แต่ปัญหาที่จะต้องพิจารณาและวางแผนอย่างรอบคอบ คือการสร้างการตลาดเชิงกิจกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและสามารถเผยแพร่ข่าวสารแก่คนส่วนใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

·           การทำกิจกรรมอาจจัดขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับ ททท. / TAT Events ” (Brand Awareness) เพียงอย่างเดียวหรือเพื่อส่งเสริมการขายไปพร้อมกันก็ได้ 

ที่สำคัญคือต้องเตรียมพนักงานผู้รับผิดชอบไปให้พร้อมและพอเพียง (ระบบการจจัดจ้างปัจจุบัน อาจไม่รองรับการทำงานที่มีคุณภาพมากนัก เพราะเน้นเรื่องนับหลอดไฟ จำนวนเก้าอี้ โครงสร้าง พอถึงงานที่เป็นหัวใจหลัก การให้คนทำงานจริง ไม่อนุญาตให้มีงบทำ ทุกสิ่งให้ใช้ราคาต่ำๆ) 
 การตลาดเชิงกิจกรรมที่ดีจะต้องมีการประสานงานกันระหว่างฝ่ายการตลาด และฝ่ายประชาสัมพันธ์ ต้องวางขั้นตอนและกระบวนการของกิจกรรมก่อนงาน ระหว่างงาน และภายหลังงานเพื่อสร้างความพึงพอใจและสร้างความจดจำในททท. / TAT Events ต่อผู้บริโภคอย่างยั่งยืน และในขณะเดียวกันต้องบรรลุเป้าหมายของการจัดงานที่วางไว้ตอนต้นจึงจะถือได้ว่าเป็นการทำการตลาดเชิงกิจกรรมอย่างเหมาะสม





ความรู้ไม่ได้อยู่ที่ปลายนิ้ว google ไม่พอ ล่ะ

good guy die first

หลังจาก ค้นเรื่องนี้ด้วยความอยากเห็นความคิดเห็นนานา จากโลก ที่เขาว่า ค้นง่ายแค่ปลายนิ้ว
มันก็ไม่ยักกะมีคำตอบนะ
↬สิ่งเดียวที่ตอบคำถามได้แน่ คือ อ่าน และอ่าน และอ่าน และคิด
ซึ่งสวนกับความคิดผู้เยาว์ ที่ว่าย่อโลกไว้ในมือถือ นั่นก็ยิ่งทำให้โลกแคบไม่เกินห้านิ้วแปดนิ้วซะอีก
ขณะที่ความจริงแท้ของชีวิตถูกกระแสลมความเชื่อและไอดอลกลบความเป็นจริง คนที่โผล่ขึ้นมาด้วยการถูกชีวิตจริงกระชากฟรืด!!! ย่อมช๊อคเป็นธรรมดา นั่น กลายเป็นจุดเปลี่ยน หรือ บางทีเป็นจุดอ่อนที่นักการตลาดระดับ low moral จับมาขาย ทั้งชาบู มูเต เฮโล ขายบุญ ขายกิเลส ขาย MLM  วนไปสิ

เรื่องจริงที่สุด ไม่เหนือความคาดหมาย คือความตาย
    ไม่ใช่เรื่องที่ทำใจได้ง่าย เพราะนั่นคือการสูญเสีย การหายไป การแตกสลาย การขาด สิ่งที่มีแล้วไม่มี ที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่ มนุษย์ หรืือ คน ใดๆ ไม่ชอบทั้งนั้น
ในมุมหนึ่ง ความตาย’ จึงเป็นมุมฮิตในเรื่องเล่ายอดนิยม ทั้งทางโลกจริงและเสมือนจริงในภาพยนตร์
เงื่อนความตายถูกใช้ในโลกภาพยนตร์ และแบ่งปันเป็นวิทยาทาน??ในหลายวาระ
    เล่าทีไรก็ล้วนทำให้เราในโลกจริงและผู้ชมช็อคกับความตายที่คาดไม่ถึง
ในภาพยนตร์ ความตายขับดันให้เกิดจุดหักเหของเรื่อง หรือแม้แต่ความตายเพื่อคลี่คลายเรื่องราวต่างๆ …
แต่ชีวิตจริง มันเป็นบาดแผลหนึ่งที่ตราไว้ บางคนเป็นแค่รอยแผลนูนจางเบาบาง บางคนเป็นแผลที่รอวันปะทุ บ้างเป็นความเจ็บที่รอปวดเป็นแผลที่อักเสบทุกปี
Amico See Anemone Silvergrass Amico
  คนตายส่วนใหญ่เรามองถึงคนชราวัย ซึ่งจริงหรือที่แก่กว่าจะตายก่อน แต่ก็นะ หลายคนทีเดียวที่มีชีวิตสุขีแต่ติดค้างบางสิ่งยังไม่ได้ทำพอๆกับคนจน
  สิ่งที่ตัวเองอยากทำก่อนตาย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะถูกจารีตประเพณีหรือไม่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในใจแม้แก่จนเฒ่าก็ไม่สามารถหยุดความคิดนี้ได้
จากเรื่องที่ค้นน่าสนใจ เรื่องหนึ่ง คือ  Angelo Valente และ Sofia Nunez แพทย์โรคชรา ตัดสินใจที่จะโปรเจกต์หนึ่งขึ้นมา โดยพวกเขาเดินทางตามหาคนแก่มาร่วมโปรเจกต์ที่ศูนย์คนชรา Gafanha do Carmo ประเทศโปรตุเกส  โดยให้พวกเขาเขียนสิ่งที่อยากทำก่อนตายลงบนกระดาน
  • ก่อนตาย… ผมอยากรู้วิธีบิน       ก่อนตาย… ฉันอยากกลับไปที่บ้านเกิด
  • ก่อนตาย… ฉันอยากจะมองเห็นอีกครั้ง  
  • ก่อนตาย… ฉันอยากจะร้องเพลงบนเวที
  • ก่อนตาย… ฉันอยากย้อมผมเป็นสีฟ้า ก่อนตาย… ผมอยากกลับไปบราซิล
  • ก่อนตาย… ผมอยากมีความรัก     ก่อนตาย… ฉันอยากขับเครื่องบิน
  • ก่อนตาย… ฉันอยากเห็นหลานๆ ของฉันอีกครั้ง
ขณะที่ นักโทษประหารก็มีคำพูด(พร้อมที่มาของคำพูดที่น่าสนใจเหมือนกัน
1. ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต Gary Gilmore (แกรี่ กิลโมล) ฆาตกรผู้เลือกเองว่าให้ประหารเขาเสีย จากคดีที่รัฐยูทาห์ แกรี่เป็นอาชญากรมืออาชีพที่ได้สังหารคนถึงสองคนภายในเวลาเพียงสองวันไปในช่วงฤดูร้อนของปี 1976
              ก่อนโดนยิงเป้า เขาถูกนำไปไว้ที่โรงงานเก่าหลังคุก ที่ แกรี่สั่งเสียก่อนตายเอาไว้ว่า “Let’s do it!”  ทันทีที่แกรี่ตาย กระจกตาของเขาถูกนำไปบริจาคให้ผู้ที่ต้องการตามคำขอของเขาก่อนตาย ที่คุ้นแน่ คือ สโลแกนNike  “Just Do It.” แดน วีเดน ที่เป็นครีเอทีฟและเป็นคนเบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ดังๆกวาดรางวัลในงานโฆษณามาแล้วนับไม่ถ้วน ก็บอกว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากคำพูดสุดท้ายของแกรี่
2. Michel Ney จอมพลคนหนึ่งของฝรั่งเศส ออกคำสั่งให้เพชรฆาตยิงเป้า  สาเหตุจากการรบแพ้ที่เมืองวอเตอร์ลู เขาถูกตามล่า จับตัวนำตัวไปขัง เและถูกตัดสินโทษให้ประหารชีวิตโดยการยิงเป้าใกล้กับสวนลุกซ็องบูร์ในวันที่ 7 ธันวาคม Neyเลือกความต้องการก่อนตาย โดย #เลือกที่จะเป็นคนสั่งให้เพชรฆาตยิงเขาด้วยตัวเอง
    ขณะถูกประหาร เขาปฏิเสธที่จะใส่ผ้าปิดตาและยืนยันว่าเขาจะสั่งยิงด้วยตัวของเขาเอง
    “Soldiers, when I give the command to fire, fire straight at my heart. Wait for the order. It will be my last to you. I protest against my condemnation. I have fought a hundred battles for France, and not one against her… Soldiers Fire!”
3. ช่วยฝังไว้ในหลุมศพเดียวกับแม่ของผม” คำขอสุดท้ายก่อนตายของ.Filip Kwasny  7 ขวบ ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เขานอนอยู่ในโรงพยาบาลเด็ก เพื่อรักษาตัว ด้วยการใช้เคมีบำบัดและการปลูกถ่ายเซลล์ แต่ผลการรักษาล้มเหลว
เฮ้อ ขึ้นต้นมาแบบวิชาการ ลงท้าย เศร้าจังเนอะ

๒๓ มิถุนายน ครบวัฎฎะ

ดาวดารดาษดุจมณิเต็มผืนกำมะหยี่เหนือโพยมสีหมึก สีตลรัศมีที่ฉายเรื่อยอ่อนแสงหายไปหลังเมฆินทร์ เบื้องล่างสายนทีลัดเลาะแผ่นหิน ทุกโค้งคุ้งส...